วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๔ บ้ายูเรเนียมและทองคำ (ต่อ)

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟัง สำหรับวันนี้ที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ และก็อาการป่วยไข้ไม่สบาย อย่างคาสเซทหน้าที่แล้วจะเห็นว่า เวลาใกล้ ๆ จะจบเสียงกระแหร่มแอมไอขากเสลดน้ำลาย ทั้งนี้อาการเสมหะในคอมากเหลือเกิน และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชีวิตของผมมันจะอยู่ได้สักกี่วัน ถ้างั้นมีอะไรบ้างพอที่จะคุยสู่กันฟังในชีวิตของผมนับตั้งแต่นี้ไป ผมจะพูดไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะจบเกม พูดตอนปลายทบทวนไปหาตอนต้นบ้าง ต้นบ้างปลายบ้างสุดแล้วแต่โอกาสกาลจังหวะที่จะพูดมันจะเหมาะสม



ก็เล่าสู่กันฟังว่าเป็นเรื่องของหลวงตาแก่คนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว แม้แต่เป็นพระก็ยังไม่มีความหมายสำหรับพระด้วยกันมากมาย เพราะพระด้วยกัน เอาเฉพาะส่วนน้อยนะ ส่วนน้อยแต่ก็หลายเสียง เขากล่าวหาว่าผมอวดอุตริมนุสธรรม การอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมอันยิ่งที่บุคคลอื่นไม่มี อันนี้ผมไม่มี ผมมีธรรมะที่ชาวบ้านเขามีกันแล้ว



โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ที่ผมนำมาแนะนำท่านนำมาสอนกันในเวลานี้ คนอื่นเขาก็ได้มาเยอะ เขาได้มาก่อนผมเยอะ เขามีกัน และเวลานี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความฉลาดมาก มีปัญญามากสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่ว หากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ผมก็ไม่พูด นี่ท่านรู้ตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้า



ตอนที่ พระโมคคัลลาน์ เจอะอหิเปรต หรือเปรตต่าง ๆ เมื่อ



พระโมคคัลลาน์มาถามท่าน มี พระลักขณะถามพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์บอกว่าไปถามต่อหน้าพระพุทธเจ้าเถอะ เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถาม พระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ถามพระพุทธเจ้าต่อ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า



"เปรตตนนี้ตถาคตเคยเห็นแล้วตั้งแต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และเวลานั้นคนอื่นยังไม่รู้ ตถาคตก็ไม่กล้าพูด แต่เวลานี้โมคคัลลาน์เป็นพยานรู้แล้วเห็นแล้วเป็นพยาน ตถาคตก็กล้าพูด"



ท่านจึงทรงพยากรณ์ความเป็นมาของเปรตทั้งหลายว่าทำความชั่วอะไรไว้บ้าง



นี่ก็เหมือนกัน ความจริงความรู้นี้ผมได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี ยังไม่บวชเณร ยังไม่บวชพระ คนเขาลือกันว่าเป็นโนนเป็นเณรมานานน่ะไม่จริง อย่างนี้ไม่จริง ผมได้มาตั้งแต่ตอนโน้น ก็มาเล่าสู่กันฟังตอนนี้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันอีกเรื่องหนึ่งที่บรรดาพระทั้งหลายในสมัยนั้นพากันโจษหาว่าพระโมคคัลลาน์อวดอุตริมนุสธรรม พ้นสภาพจากความเป็นพระ พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน โมคคัลลาน์ลูกตถาคตรู้จริงไม่เป็นอาบัติตามนั้น



ฉะนั้นถึงแม้ว่าผมจะมีความรู้อย่างเป็ด ไม่เหมือนพระโมคคัลลาน์ ก็เอามาเล่าสู่กันฟังตามประสาเป็ด ๆ ในเมื่อพูดความจริง ถ้าจะหาว่าหมดสภาพความเป็นพระก็เป็นเรื่องของท่าน



ฉะนั้นท่านพวกนั้นกับผมเป็นพระกันคนละพวก ผมเป็นพระที่มีความรู้บ้าง ผมก็มาแนะนำกับพวกคุณ ท่านถือว่าความรู้นี้มีจริงในพระพุทธศาสนาเป็นของไม่จริงก็เป็นเรื่องของท่าน ที่ท่านคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผมหรือท่านจะเป็น เถรใบลานเปล่า ก็เป็นเรื่องพิสูจน์กันเอง



ท่านผู้ใดอยากจะพิสูจน์ก็ได้ การพิสูจน์ไม่ใช่มานั่งถามกัน ใช้กำลังใจของ เจโตปริยญาณ เป็นเรื่องไม่ยาก ท่านเทศน์สอนคนอื่นได้ทำไมท่านทำไม่ได้หรือ อันนี้ไม่ได้ต่อว่าท่านนะ คุยให้พวกท่านทั้งหลายฟัง



ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติแบบนี้ก็ระมัดระวังแบบผม และท่านจะถามว่า "ในเมื่อถูกโจมตีแบบนั้นผมจะมีความรู้สึกอย่างไร?" ไอ้เรื่องถูกโจมตีแบบนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่สะเทือนใจผม ผมก็มีความรู้สึกตามคำโบราณว่า คนตาบอดกับคนตาดีแต่ไม่สว่างนัก ตาพร่า ๆ พราง ๆ ยังรู้จักคนเป็นคน รู้จักสัตว์เป็นสัตว์ รู้จักผู้หญิงผู้ชาย รู้จักคนขาวคนดำ รู้จักคนสูงคนต่ำก็มี ความรู้สึกเข้าใจต่างกับคนตาบอด



เล่าไว้ว่าคนตาบอดคลำช้าง คนตาบอด ๔ คนเธอไม่รู้จักว่าช้างรูปร่างเป็นอย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งเข้าไปจับขาช้างเธอก็ร้องตะโกนบอก



"ช้างรูปร่างเหมือนเสาโว้ย"



อีกคนหนึ่งไปจับงาช้าง "ช้างเหมือนไม้แหลมหว่า"



อีกคนหนึ่งไปจับงวงช้าง "เฮ้ย ไม่ใช่ช้าง เหมือนปลิง"



อีกคนหนึ่งไปจับหางช้างลูบไปแล้วร้อง "เฮ้ย ไม่ใช่ ๆ ช้างเหมือนไม้กวาด"



ก็รวมความคนตาบอดทั้ง ๔ คน ไม่รู้จักช้างทั้งตัว แต่ว่าคนแม้แต่ตาไม่ดี ตาฝ้าตาฟางยังพอเห็น ยังรู้จักรูปร่างของช้างเป็นอย่างไร ความเข้าใจมันก็ไม่เหมือนกัน



ฉะนั้นคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาถือแต่ตำราอย่างเดียว พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "เถรใบลานเปล่า" นั่นก็หมายความว่าได้แต่ใบลาน คือตัวหนังสือ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่หมดความสงสัย ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ปฏิบัติพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีความเข้าใจในคำสอนตามความเป็นจริงบ้าง ถึงแม้ไม่มากอย่างเป็ด ๆ ก็ยังพอรู้บ้าง



เหมือนกับคนหรือว่าจะเปรียบเทียบเหมือนกับแม่ครัว หรือท่านสุภาพสตริที่เป็นแม่บ้าน คนหนึ่งอ่านตำราทำกับข้าวทำขนมคล่องตัว หมายความว่าแกงอะไรต้มอะไร ขนมแบบไหนทำอย่างไร อธิบายคล่องแคล่วตามตำรา แต่ก็ไม่เคยทำกับข้าวเลย อีกคนหนึ่งไม่ได้เรียนตำรามาก เรียนบ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับฟังคำสอนมาจากบิดามารดาให้หุงหาอาหารด้วยมือมาตั้งแต่เด็ก คนสองคนนี่มีผลต่างกัน คนมีแต่ตำราไม่เคยได้กินอะไรเลย ไอ้คนเริ่มทำมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เริ่มต้มโคล้ง ต้มยำ ต้มส้ม เป็นอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เบื้องต้น มาจนถึงที่สุดเขาได้กินทุกอย่าง เขาได้ทำทุกอย่าง และก็มีความรู้ตามความเป็นจริง
ข้อนี้ฉันใด ความหนักใจของผมไม่มีในฐานะที่ท่านทั้งหลายโจมตีผม ความจริงผมไม่ถือว่าท่านโจมตีผม ที่ผมไม่หนักใจผมถือว่าท่านโจมตีพระพุทธเจ้า เพราะว่าความรู้นี้พระพุทธเจ้าสอนมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนมาท่านเห็นว่าไม่ดีท่านก็โจมตีพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็นินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าเอง



ถ้าจะถามว่า หากว่าท่านผู้นั้นไม่คบล่ะ



ความจริงคบหรือไม่คบไม่ได้มีความหมาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าผมบวชมานี่ผมเลี้ยงตัวเองนะ ญาติโยมพุทธบริษัทท่านสงเคราะห์ผมมา พระพวกนั้นแม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นกัน วาจาก็ไม่เคยกล่าว แม้แต่ข้าวบูด ๆ สักเม็ดเดียวก็ไม่เคยส่งให้ ผมจะหนักใจอะไรกับคนที่ไม่มีสาระสำหรับผม



รวมความผมมีความรู้สึกว่าท่านพวกนั้นเหมือนเศษขยะอันหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ไกลจากตาผม ผมมองไม่เห็น เสียงของท่านจึงไม่มีความหมาย



ถ้าถามว่าถ้าบังเอิญท่านจะรวมตัวกันกล่าวร้ายกับผม ทำให้ผมหมดสภาพความเป็นพระ



ยังไง ๆ ผมก็ไม่หมดสภาพความเป็นพระ ในเมื่อท่านไม่ต้องการคบ ผมก็แยกนิกายซะมันก็หมดเรื่อง ผมพร้อมเสมอ พร้อมมาหลายสิบปีแล้ว อยากจะแยกนิกาย แต่ว่าท่านที่ดียังมีอยู่มาก ผมไม่หนักใจเรื่องนี้



ก็มาคุยกันเรื่อง "บ้าทอง" ต่อไป



ไอ้การบ้าทองของผมนี่มันก็กว้างขวางมาก แต่ก็ได้มีบรรดาท่านพวกนี้แหละหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้ตัวผมจะไปคุยที่วัด ว่าง ๆ จดหมายมาก็ได้ครับว่าวท่านอยู่กันที่ไหน ท่านมีความเห็นอย่างไร ท่านบวชในศาสนาไหน ปฏิบัติแบบไหนตามศาสดาของท่าน เราอยากจะพบกันจริง ๆ



เอ้ามาคุยต่อไปดีกว่า พูดมากจะหนัก เพราะคนที่ไม่คบกันนี่พูดได้หนักยังไง ๆ ผมก็ไม่คบพวกนั้นแน่ ทั้งนี้เพราะอะไร ผมไม่เห็นประโยชน์สำหรับคนพวกนี้เลย มีแต่ทำลายความดีของพระพุทธศาสนา พูดปาว ๆ น่ะพูดได้ แต่ความดีเบื้องหลังญาติโยมพุทธบริษัทรู้แล้ว "ใช้อนาคตังสญาณ ดูก็ได้ว่าท่านพวกนั้นจะตายแล้วจะไปทางไหน เรียบร้อย ในปัจจุบัน ในอดีตทำความชั่วอะไรไว้ ภาพจะปรากฏชัด ไม่ต้องรู้จักหน้ารู้แต่เหตุว่าท่านผู้นี้โจมตีผมด้านนี้ รู้แค่นี้อยากจะทราบเลย พวกนี้คนนี้ คณะนี้ ใครมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และก็มีความดีความชั่วเบื้องหลังมีอะไรบ้าง กรรมทั้งหลายที่ทำจะสนองท่านเวลาที่ท่านตายแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน เรื่องไม่ยาก



แต่ความจริงเวลานี้ฆราวาสเขารู้กันเยอะ นี่ผมเอาความรู้อันนี้มาแจกฆราวาส ก็เป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในพระพุทธศาสนา จะทำให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ามีความเข้าใจในพระศาสนา เลือกนาที่ดีหว่านพืชจะได้มีผลมาก ๆ



และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนมโนมยิทธิก็เหมือนกัน หาว่าผมทำเลยเถิดไป อวดอุตริมนุสธรรม แต่ผมจะไปแปลกอะไรในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทท่านทำกันได้ บรรดาพระสงฆ์ ทั้งหลายทำกันได้เป็นของไม่แปลก



เป็นอันว่าพึงเข้าใจว่านักบวชที่พึงแสดงเขาแต่งตัวคล้ายคลึงกัน บางทีทำหน้าเหมือนพระอรหันต์ แต่ภายในความจริงเลวยิ่งกว่าเปรตก็มี
ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง "ทองคำ"



ทองคำแหล่งที่ว่านี้แสดงปาฏิหาริย์บ่อย ๆ ความจริงไม่ใช่ทองคำแสดง เป็นเทวดาที่รักษาแสดง เรื่องเป็นอย่างนี้



ในเมื่อถึงกาลเวลาที่ไปพบทองคำที่นั่นเข้า ผมก็ถามท่านท้าวมหาราช องค์ที่ตอบก็คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ถามว่า



"ทองทั้งหลายเหล่านี้จะมีประโยชน์กับประชาชนชาวไทยเมื่อไร เวลานี้ประเทศชาติอยู่ในความยากจนเข็ญใจ คนแร้นแค้น ประชาชนน่าจะพึงได้"



ท่านก็ตอบว่า "ถ้าให้ประชาชนคนไทยเวลานี้ คนไทยเกือบจะไม่เหลือเลย จะตายกันเกือบหมดทั้งชาติ ส่วนที่มีชีวิตอยู่ก็จะตกเป็นทาสของชาติอื่น"



ก็เลยถามท่านว่า "ทองนี่มีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน?"



ท่านบอกว่า "ทองก็แค่วัตถุจะมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไม่สำคัญ สำคัญว่าคนไทยจะยังมีความโลภเห็นทองเข้าก็จะฆ่ากันหนัก เหมือนแร่ดีบุกที่เขาศูนย์ แร่ดีบุกที่เขาศูนย์น่ะฆ่ากันตายกันเป็นร้อย แต่ว่าถ้าทองคำนี้มันจะตายกันเกือบทั้งชาติ มึงแย่งกู กูแย่งมึง ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ถ้ากำลังชาวไทยอ่อนลงเพราะขาดความสามัคคี มีความโลภ ก็จะทำให้ต่างประเทศบุกรุกเข้ามา ไม่มีใครต่อต้านได้ ผลที่สุดทองทั้งหมดจะเป็นของชาวต่างประเทศ น่าดู และก็คนไทยที่เหลือก็ต้องเป็นทาสเขา ไอ้ทองก็ไม่ได้ กินก็จะไม่มีกิน เขาจะใช้อย่างทาส เขาจะข่มขู่อย่างทาส"



ท่านบอกว่า "ถ้าคนไทยดีกว่านี้เมื่อไรทองนี้ใช้ได้เมื่อนั้น"



ถามว่า "ปริมาณทองมีสักกี่ตัน?"



ท่านบอกว่า "ถ้าหมื่นตันนี่มันยังไม่หมดถึงครึ่ง"



โอ้โฮ แล้วก็ทองคำธรรมชาติไม่มีคำว่าหมด มันจะก่อตัวเกิดอยู่เสมอ



ถามว่า "เหตุที่ทองก่อตัวเพราะอาศัยอะไรเป็นเหตุ"



ท่านก็บอกให้ฟัง แต่ผมจะยังไม่บอกเวลานี้ ใครถามต่อไปก็ไม่บอก เพราะวิชานี้นักธรณีวิทยาเขาทราบกันอยู่แล้ว นักธรณีวิทยามีความรู้ด้านดินมันน่าจะทราบว่าทองเกิดจากอะไร เขาจะรู้ ผมก็ขี้เกียจเอาตำราเป็ด ๆ ไปพูดให้เขาฟัง



หลังจากนั้นแล้วผมก็ถามถึงทองทั่วประเทศ ท่านก็พาดูหมด ทั้งทองคำธรรมชาติและทองที่ปรุงแต่งแล้ว หลอมแล้ว เป็นสร้อยก็มี เป็นแท่งก็มี เป็นเพชรนิลจินดาเยอะแยะ รวยจัด ผมนึก ๆ ยิ้มในใจว่า แค่ทองอย่างเดียว ประเทศไทยก็เป็นมหาเศรษฐีของโลกแล้ว ไม่ต้องแร่อื่น ยังน้ำมันอีก ยังแก็สอีก ยังแร่ต่าง ๆ อีก โอ...มหาศาล ผมยิ้มบ้าอยู่คนเดียว ไอ้เรื่องทองนี้ยังไม่มีใครเขาว่าบ้า ผมเลยต้องว่าบ้าคนเดียว ชื่นใจว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าคนไทยจะดี



ทีนี้มา ผลของการฝึกมโนมยิทธิ ผมอยากจะพูด พูดเสียตอนนี้เลยว่ามีผลดีอย่างไร



มโนมยิทธินี่เป็นความดีทางพระพุทธศาสนา คนที่ได้จะต้องทรงศีลบริสุทธิ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย ตายแล้ว ถ้าเราทำดีไว้เราก็จะไปสู่ที่ดี ทำชั่วไว้เราก็ไปสู่ที่ชั่วที่มีทุกข์ เรียกว่าถ้าอยู่ก็อยู่เป็นคนดี ตายเป็นผีก็เป็นผีดี เมื่อมีความรู้สึกว่าจะต้องตาย คำว่าตายคือไม่ยอมไปอบายภูมิ ก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีความเคารพแน่นอน นี่หลักสูตร



หลังจากนั้นก็มีศึลบริสุทธิ์ อารมณ์จริง ๆ ต้อง



๑. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล



๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว



และเวลาต้องการให้จิตสะอาดเบื้องต้น ก็ต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการให้ทันทีทันใด ยามปกติจะไม่ยอมให้นิวรณ์ ๕ ประการ เป็นเจ้านายบังคับใช้จิตของเรา จิตของเราต้องมีกำลังเหนือนิวรณ์ ๕ ประการไว้เสมอ



นิวรณ์ ๕ ประการคือ



๑. ไม่เมาในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสเกินพอดี



๒. ไม่คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น



๓. ไม่ง่วงเวลาทำความดี



๔. จิตไม่ฟุ้งซ่านพลุ่งพล่านเกินไป ใช้กำลังใจคิดอยู่ในขอบเขตของความดี



๕. ไม่สงสัยผลการปฏิบัติในความดี



หลังจากนั้นต้องทรงอารมณ์ตามนี้อีก ท่านทั้งหลายที่ฟังจำไว้นะครับ หากว่าท่านทรงอย่างนี้ไม่ได้ สมาธิความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มันจะสลายตัว ถ้าทรงไว้ได้ผมขอยืนยันว่า ต้องการใช้เมื่อไรก็มีเมื่อนั้น อารมณ์ต่าง ๆ ที่ได้ไว้ทั้งหมดจะทรงตัวตลอดเวลา ไม่ถอยหลัง มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป



หลังจากนั้นกำลังใจของท่านผู้นั้นต้องทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติคือ



๑. จิตคิดไว้เสมอว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งหลาย ไม่คิดประทุษร้ายใคร มีแต่ความรัก เห็นคนก็รักคน เห็นสัตว์ก็รักสัตว์ เห็นวัตถุก็รักวัตถุ ไม่คิดทำลายทรัพย์สมบัติของใครทั้งหมด



๒. กรุณา มีความสงสารตั้งใจไว้เสมอว่าจะสงเคราะห์มนุษย์และสัตว์เพื่อนร่วมโลกให้มีความสุขตามกำลัง ถ้าโอกาสมีและทรัพย์สินมี ปัญญามี ถ้าเขาขาดวัตถุเรามีวัตถุ เราจะให้วัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเราจะให้แรงกายช่วย ถ้าร่างกายเขาไม่ต้องการ เราจะให้แรงปัญญาช่วย เป็นปัจจัยสร้างความสุขร่วมกัน



๓. มุทิตา เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย



๔. อุเบกขา เห็นคนอื่นเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติมให้มีทุกข์มากไปกว่านั้น เราจะวางเฉย จิตพร้อมจะช่วยเหลือไว้เสมอ



นี่นักเจริญมโนมยิทธิทุกคนต้องทรงอารมณ์อย่างนี้ไว้เป็นปกติ คำว่าปกติมันทุกลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว อย่างนี้ผลของสมาธิที่ได้จะไม่มีการเสื่อม



แต่ว่าผมก็ไม่ยืนยันว่าทุกคนที่เขาฝึกไปได้ เขาจะรักษาไว้ได้ทุกคน บางคนที่ปล่อยสลายตัวก็มี บางคนก็ไม่มาเอาจริงเอาจัง มาแค่วันเดียวปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วก็ไป คล้าย ๆ จะมาลอง ท่านพวกนี้ผมถือว่ายังไม่จริงจังกับพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปเกณฑ์บังคับ ไม่ใช่อยากให้เขามาปฏิบัติ แต่ว่าผลของผู้ปฏิบัติมีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำไปอย่างนั้นไม่ช้าก็สลายตัว เมื่อสลายตัวไปแล้วกำลังจิตจะกลุ้มจะมีความวุ่นวาย จะดึงไม่กลับ ความสามารถความรู้ที่มีอยู่ดึงไม่กลับเพราะมีอาการกลุ้มและก็หลายคนกลับเป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา อันนี้ก็มี
สำหรับคนดีมีอยู่ ผมคิดว่าคนในโลกนี้ผมเกิดมาหนึ่งชีวิต ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงคนเดียวผมพอใจ ก็เรียกว่าถ้าเขาผู้นั้นมีความ รู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตายไม่ประมาทในชีวิต และก็เขาผู้นั้นตั้งใจมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์จริง สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้โดยฉับพลัน ทรงพรหมวิหาร ๔ จิตตั้งไว้ในด้านของความดีโดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน แค่นี้เพียงคนเดียว ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมได้กำไร ได้กำไรชีวิตที่คนดีมีอยู่



แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คนที่รับการฝึกไว้ รักษาตัวไว้ได้จริง ๆ มีนับเกินแสน แสนน่ะเกินแน่ แต่ทว่าจะเกินไปเท่าไรผมไม่ทราบและพวกนี้ที่ทำ ๆ ได้แล้วมีความรักใคร่ มีความสามัคคีเป็นกรณีพิเศษ ดีกว่าไปเทศน์สอนปาว ๆ เพราะว่าผมเคยเป็นนักเทศน์มา เทศน์เท่าไรไม่สามารถจะทำให้คนมีกำลังใจดีขึ้นมาได้ ไปเมื่อไรคนนั้นก็กินเหล้าอยู่ตามเดิม



ทีนี้พอมาฝึกมโนมยิทธิเข้าดีจริง ๆ มีหลายคนพอคิดว่าคนที่เขาจะทำได้ต้องเป็นคนมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ท่านผู้นั้นอยากจะทำบ้าง ก็เลิกเหล้าเลิกฝิ่นมาเลย ทำตัวเป็นคนดีตลอดมา และบางคนยังไม่รู้ลีลา ก็มาถึง เอ้า! เขาห้ามกันแบบนี้หรือก็เลยไม่แปลกใจ ทำกับเขาบ้าง ก็เลยพลอยดีกับเขาไปด้วย



เป็นอันว่ามโนมยิทธินี่เป็นแบบฉบับที่ดี เป็นเครื่องเตือนใจ นรกอยู่ที่ไหนรู้จัก และก็รู้ว่าตนเองเคยตกนรกขุมไหนมาบ้าง ใครทำบาปทำชั่วอะไรตกนรกขุมไหน มีโทษอย่างไรเห็นพบมาเอง เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะกรรมอะไร ทราบ



และนอกจากนั้นยังรู้เรื่องของคนอื่นด้วย เวลาลงไปนรกอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นญาติเป็นพวกเป็นพ้องกันมีไหมในนรกขุมนี้ ๆ ต้องการทราบจะพบทันทีและก็จะเรียกมาคุยกันได้



แต่เวลานี้ญาติโยมนี่ฉลาด ผมก็เสียว ๆ เหมือนกัน เสียว ๆ ความสามารถของญาติโยม ท่านไปนรกท่านก็ขอดูพระในนรกอันนี้ชื่นใจมาก ว่านรกขุมนี้คนที่เคยเป็นพระมีโทษระหว่างความเป็นพระตายแล้วมีไหม ขอดูภาพ เป็นพระเหลืองพรึ่บ ขอดูพระที่เคยรู้จักที่มีชื่อเสียง และเคยรู้จักตัวมีไหม ปรากฏว่าพบทุกราย



บางรายดีกว่านั้นอีกท่านใช้อนาคตังสญาณถามพระตรง ถามว่า



"พระองค์นั้นที่ยังไม่ตายน่ะ เวลานั้นถ้าตายแล้วจะไปสวรรค์หรือนรก...?"



ภาพก็ปรากฏในนรกบ้าง ในสวรรค์บ้าง ที่อื่นบ้าง และขอดูผลการกระทำของท่านผู้นั้นตั้งแต่เริ่มบวชมาทำอะไรบ้าง ปรากฏภาพชัดเหมือนกับดูโทรทัศน์ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ตาสีตาสาเขารู้ คนที่มีปัญญานะ ที่เรายกย่องสรรเสริญว่า ท่านได้ปริญญาบ้าง ท่านเป็นด็อกเต้อร์บ้าง นี่ท่านรู้กันและก็ญาติโยมพุทธบริษัทก็รู้ตาม เวลานี้เข้าใจเรื่องพระมาก บางคนถึงกับมาถามว่า



"การเรี่ยไรการบอกบุญเคยทำเป็นประจำ เพราะคนที่บอกชอบกันจะทำอย่างไร...?"



ก็บอกว่า "เป็นกำลังใจของญาติโยม อันนี้มันเรื่องของศรัทธาไม่ได้ห้าม การให้ทานกับคนที่ไม่มีศีล กับการให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ค่าต่างกันหลายแสนเท่า ยิ่งให้ทานกับคนที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีค่าสูงมาก"



บางท่านจริยาเรียบร้อยน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ลูกหลานไปดูเข้าโดดป๋องไปอยู่ในอเวจีมหานรก อันนี้เป็นที่น่าภูมิใจ พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาให้นักบวชปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา ถ้าพลาดท่าพลาดทางแบบนี้ ชาวบ้านจะได้เลือกเนื้อนาบุญได้ตามชอบใจ ใครอยากได้นาดอนก็ทำบุญกับนาดอน ใครอยากได้นาลุ่มก็หว่านข้าวหว่านพืชกับนาลุ่ม ใครอยากได้นาดีก็หว่านพืชผลกับนาดี



และเหมือนกับคนที่อยากได้บุญมาก ก็ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ มีฌานสมาบิติ เป็นพระอริยะตามขั้นไป



ใครอยากได้นรกไว้เป็นปัจจัยเป็นสมบัติก็ทำบุญกับนักบวชที่ไม่มีศีล ก็หมดเรื่องราว ให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตัดสินใจเอาเอง



แต่ท่านผู้รับฟังอย่าลืมนะ ผมเองก็เสียว ๆ เหมือนกันนะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผมตายแล้วผมจะลงนรกขุมไหน ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าผมเป็นผู้วิเศษนะครับ ผมเองก็ด๊อกแด๊ก ๆ สงสัยเหมือนกันไอ้ขาข้างใดข้างหนึ่งมันแหย่ลงไปขุมไหนบ้างหรือเปล่า



ขอท่านทั้งหลายที่รับฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนภิกษุที่รับฟังอย่าประมาทในชีวิตอย่าคิดว่าเราดีแล้ว ถือคติที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัสว่า



"อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิดไว้เสมอ เราจะได้ไม่ผิดต่อไป



เอาละบรรดาท่านทั้งหลายวันนี้บ้าเรื่องทองพอสมควร ร่างกายก็ยังไม่ดีสัญญาณบอกเวลาหมดแล้วนี่ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน





สวัสดี









แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก