วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๔ บ้ายูเรเนียมและทองคำ (ต่อ)

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟัง สำหรับวันนี้ที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ และก็อาการป่วยไข้ไม่สบาย อย่างคาสเซทหน้าที่แล้วจะเห็นว่า เวลาใกล้ ๆ จะจบเสียงกระแหร่มแอมไอขากเสลดน้ำลาย ทั้งนี้อาการเสมหะในคอมากเหลือเกิน และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชีวิตของผมมันจะอยู่ได้สักกี่วัน ถ้างั้นมีอะไรบ้างพอที่จะคุยสู่กันฟังในชีวิตของผมนับตั้งแต่นี้ไป ผมจะพูดไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะจบเกม พูดตอนปลายทบทวนไปหาตอนต้นบ้าง ต้นบ้างปลายบ้างสุดแล้วแต่โอกาสกาลจังหวะที่จะพูดมันจะเหมาะสม



ก็เล่าสู่กันฟังว่าเป็นเรื่องของหลวงตาแก่คนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว แม้แต่เป็นพระก็ยังไม่มีความหมายสำหรับพระด้วยกันมากมาย เพราะพระด้วยกัน เอาเฉพาะส่วนน้อยนะ ส่วนน้อยแต่ก็หลายเสียง เขากล่าวหาว่าผมอวดอุตริมนุสธรรม การอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมอันยิ่งที่บุคคลอื่นไม่มี อันนี้ผมไม่มี ผมมีธรรมะที่ชาวบ้านเขามีกันแล้ว



โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ที่ผมนำมาแนะนำท่านนำมาสอนกันในเวลานี้ คนอื่นเขาก็ได้มาเยอะ เขาได้มาก่อนผมเยอะ เขามีกัน และเวลานี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความฉลาดมาก มีปัญญามากสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่ว หากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ผมก็ไม่พูด นี่ท่านรู้ตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้า



ตอนที่ พระโมคคัลลาน์ เจอะอหิเปรต หรือเปรตต่าง ๆ เมื่อ



พระโมคคัลลาน์มาถามท่าน มี พระลักขณะถามพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์บอกว่าไปถามต่อหน้าพระพุทธเจ้าเถอะ เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถาม พระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ถามพระพุทธเจ้าต่อ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า



"เปรตตนนี้ตถาคตเคยเห็นแล้วตั้งแต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และเวลานั้นคนอื่นยังไม่รู้ ตถาคตก็ไม่กล้าพูด แต่เวลานี้โมคคัลลาน์เป็นพยานรู้แล้วเห็นแล้วเป็นพยาน ตถาคตก็กล้าพูด"



ท่านจึงทรงพยากรณ์ความเป็นมาของเปรตทั้งหลายว่าทำความชั่วอะไรไว้บ้าง



นี่ก็เหมือนกัน ความจริงความรู้นี้ผมได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี ยังไม่บวชเณร ยังไม่บวชพระ คนเขาลือกันว่าเป็นโนนเป็นเณรมานานน่ะไม่จริง อย่างนี้ไม่จริง ผมได้มาตั้งแต่ตอนโน้น ก็มาเล่าสู่กันฟังตอนนี้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันอีกเรื่องหนึ่งที่บรรดาพระทั้งหลายในสมัยนั้นพากันโจษหาว่าพระโมคคัลลาน์อวดอุตริมนุสธรรม พ้นสภาพจากความเป็นพระ พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน โมคคัลลาน์ลูกตถาคตรู้จริงไม่เป็นอาบัติตามนั้น



ฉะนั้นถึงแม้ว่าผมจะมีความรู้อย่างเป็ด ไม่เหมือนพระโมคคัลลาน์ ก็เอามาเล่าสู่กันฟังตามประสาเป็ด ๆ ในเมื่อพูดความจริง ถ้าจะหาว่าหมดสภาพความเป็นพระก็เป็นเรื่องของท่าน



ฉะนั้นท่านพวกนั้นกับผมเป็นพระกันคนละพวก ผมเป็นพระที่มีความรู้บ้าง ผมก็มาแนะนำกับพวกคุณ ท่านถือว่าความรู้นี้มีจริงในพระพุทธศาสนาเป็นของไม่จริงก็เป็นเรื่องของท่าน ที่ท่านคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผมหรือท่านจะเป็น เถรใบลานเปล่า ก็เป็นเรื่องพิสูจน์กันเอง



ท่านผู้ใดอยากจะพิสูจน์ก็ได้ การพิสูจน์ไม่ใช่มานั่งถามกัน ใช้กำลังใจของ เจโตปริยญาณ เป็นเรื่องไม่ยาก ท่านเทศน์สอนคนอื่นได้ทำไมท่านทำไม่ได้หรือ อันนี้ไม่ได้ต่อว่าท่านนะ คุยให้พวกท่านทั้งหลายฟัง



ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติแบบนี้ก็ระมัดระวังแบบผม และท่านจะถามว่า "ในเมื่อถูกโจมตีแบบนั้นผมจะมีความรู้สึกอย่างไร?" ไอ้เรื่องถูกโจมตีแบบนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่สะเทือนใจผม ผมก็มีความรู้สึกตามคำโบราณว่า คนตาบอดกับคนตาดีแต่ไม่สว่างนัก ตาพร่า ๆ พราง ๆ ยังรู้จักคนเป็นคน รู้จักสัตว์เป็นสัตว์ รู้จักผู้หญิงผู้ชาย รู้จักคนขาวคนดำ รู้จักคนสูงคนต่ำก็มี ความรู้สึกเข้าใจต่างกับคนตาบอด



เล่าไว้ว่าคนตาบอดคลำช้าง คนตาบอด ๔ คนเธอไม่รู้จักว่าช้างรูปร่างเป็นอย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งเข้าไปจับขาช้างเธอก็ร้องตะโกนบอก



"ช้างรูปร่างเหมือนเสาโว้ย"



อีกคนหนึ่งไปจับงาช้าง "ช้างเหมือนไม้แหลมหว่า"



อีกคนหนึ่งไปจับงวงช้าง "เฮ้ย ไม่ใช่ช้าง เหมือนปลิง"



อีกคนหนึ่งไปจับหางช้างลูบไปแล้วร้อง "เฮ้ย ไม่ใช่ ๆ ช้างเหมือนไม้กวาด"



ก็รวมความคนตาบอดทั้ง ๔ คน ไม่รู้จักช้างทั้งตัว แต่ว่าคนแม้แต่ตาไม่ดี ตาฝ้าตาฟางยังพอเห็น ยังรู้จักรูปร่างของช้างเป็นอย่างไร ความเข้าใจมันก็ไม่เหมือนกัน



ฉะนั้นคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาถือแต่ตำราอย่างเดียว พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "เถรใบลานเปล่า" นั่นก็หมายความว่าได้แต่ใบลาน คือตัวหนังสือ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่หมดความสงสัย ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ปฏิบัติพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีความเข้าใจในคำสอนตามความเป็นจริงบ้าง ถึงแม้ไม่มากอย่างเป็ด ๆ ก็ยังพอรู้บ้าง



เหมือนกับคนหรือว่าจะเปรียบเทียบเหมือนกับแม่ครัว หรือท่านสุภาพสตริที่เป็นแม่บ้าน คนหนึ่งอ่านตำราทำกับข้าวทำขนมคล่องตัว หมายความว่าแกงอะไรต้มอะไร ขนมแบบไหนทำอย่างไร อธิบายคล่องแคล่วตามตำรา แต่ก็ไม่เคยทำกับข้าวเลย อีกคนหนึ่งไม่ได้เรียนตำรามาก เรียนบ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับฟังคำสอนมาจากบิดามารดาให้หุงหาอาหารด้วยมือมาตั้งแต่เด็ก คนสองคนนี่มีผลต่างกัน คนมีแต่ตำราไม่เคยได้กินอะไรเลย ไอ้คนเริ่มทำมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เริ่มต้มโคล้ง ต้มยำ ต้มส้ม เป็นอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เบื้องต้น มาจนถึงที่สุดเขาได้กินทุกอย่าง เขาได้ทำทุกอย่าง และก็มีความรู้ตามความเป็นจริง
ข้อนี้ฉันใด ความหนักใจของผมไม่มีในฐานะที่ท่านทั้งหลายโจมตีผม ความจริงผมไม่ถือว่าท่านโจมตีผม ที่ผมไม่หนักใจผมถือว่าท่านโจมตีพระพุทธเจ้า เพราะว่าความรู้นี้พระพุทธเจ้าสอนมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนมาท่านเห็นว่าไม่ดีท่านก็โจมตีพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็นินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าเอง



ถ้าจะถามว่า หากว่าท่านผู้นั้นไม่คบล่ะ



ความจริงคบหรือไม่คบไม่ได้มีความหมาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าผมบวชมานี่ผมเลี้ยงตัวเองนะ ญาติโยมพุทธบริษัทท่านสงเคราะห์ผมมา พระพวกนั้นแม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นกัน วาจาก็ไม่เคยกล่าว แม้แต่ข้าวบูด ๆ สักเม็ดเดียวก็ไม่เคยส่งให้ ผมจะหนักใจอะไรกับคนที่ไม่มีสาระสำหรับผม



รวมความผมมีความรู้สึกว่าท่านพวกนั้นเหมือนเศษขยะอันหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ไกลจากตาผม ผมมองไม่เห็น เสียงของท่านจึงไม่มีความหมาย



ถ้าถามว่าถ้าบังเอิญท่านจะรวมตัวกันกล่าวร้ายกับผม ทำให้ผมหมดสภาพความเป็นพระ



ยังไง ๆ ผมก็ไม่หมดสภาพความเป็นพระ ในเมื่อท่านไม่ต้องการคบ ผมก็แยกนิกายซะมันก็หมดเรื่อง ผมพร้อมเสมอ พร้อมมาหลายสิบปีแล้ว อยากจะแยกนิกาย แต่ว่าท่านที่ดียังมีอยู่มาก ผมไม่หนักใจเรื่องนี้



ก็มาคุยกันเรื่อง "บ้าทอง" ต่อไป



ไอ้การบ้าทองของผมนี่มันก็กว้างขวางมาก แต่ก็ได้มีบรรดาท่านพวกนี้แหละหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้ตัวผมจะไปคุยที่วัด ว่าง ๆ จดหมายมาก็ได้ครับว่าวท่านอยู่กันที่ไหน ท่านมีความเห็นอย่างไร ท่านบวชในศาสนาไหน ปฏิบัติแบบไหนตามศาสดาของท่าน เราอยากจะพบกันจริง ๆ



เอ้ามาคุยต่อไปดีกว่า พูดมากจะหนัก เพราะคนที่ไม่คบกันนี่พูดได้หนักยังไง ๆ ผมก็ไม่คบพวกนั้นแน่ ทั้งนี้เพราะอะไร ผมไม่เห็นประโยชน์สำหรับคนพวกนี้เลย มีแต่ทำลายความดีของพระพุทธศาสนา พูดปาว ๆ น่ะพูดได้ แต่ความดีเบื้องหลังญาติโยมพุทธบริษัทรู้แล้ว "ใช้อนาคตังสญาณ ดูก็ได้ว่าท่านพวกนั้นจะตายแล้วจะไปทางไหน เรียบร้อย ในปัจจุบัน ในอดีตทำความชั่วอะไรไว้ ภาพจะปรากฏชัด ไม่ต้องรู้จักหน้ารู้แต่เหตุว่าท่านผู้นี้โจมตีผมด้านนี้ รู้แค่นี้อยากจะทราบเลย พวกนี้คนนี้ คณะนี้ ใครมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และก็มีความดีความชั่วเบื้องหลังมีอะไรบ้าง กรรมทั้งหลายที่ทำจะสนองท่านเวลาที่ท่านตายแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน เรื่องไม่ยาก



แต่ความจริงเวลานี้ฆราวาสเขารู้กันเยอะ นี่ผมเอาความรู้อันนี้มาแจกฆราวาส ก็เป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในพระพุทธศาสนา จะทำให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ามีความเข้าใจในพระศาสนา เลือกนาที่ดีหว่านพืชจะได้มีผลมาก ๆ



และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนมโนมยิทธิก็เหมือนกัน หาว่าผมทำเลยเถิดไป อวดอุตริมนุสธรรม แต่ผมจะไปแปลกอะไรในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทท่านทำกันได้ บรรดาพระสงฆ์ ทั้งหลายทำกันได้เป็นของไม่แปลก



เป็นอันว่าพึงเข้าใจว่านักบวชที่พึงแสดงเขาแต่งตัวคล้ายคลึงกัน บางทีทำหน้าเหมือนพระอรหันต์ แต่ภายในความจริงเลวยิ่งกว่าเปรตก็มี
ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง "ทองคำ"



ทองคำแหล่งที่ว่านี้แสดงปาฏิหาริย์บ่อย ๆ ความจริงไม่ใช่ทองคำแสดง เป็นเทวดาที่รักษาแสดง เรื่องเป็นอย่างนี้



ในเมื่อถึงกาลเวลาที่ไปพบทองคำที่นั่นเข้า ผมก็ถามท่านท้าวมหาราช องค์ที่ตอบก็คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ถามว่า



"ทองทั้งหลายเหล่านี้จะมีประโยชน์กับประชาชนชาวไทยเมื่อไร เวลานี้ประเทศชาติอยู่ในความยากจนเข็ญใจ คนแร้นแค้น ประชาชนน่าจะพึงได้"



ท่านก็ตอบว่า "ถ้าให้ประชาชนคนไทยเวลานี้ คนไทยเกือบจะไม่เหลือเลย จะตายกันเกือบหมดทั้งชาติ ส่วนที่มีชีวิตอยู่ก็จะตกเป็นทาสของชาติอื่น"



ก็เลยถามท่านว่า "ทองนี่มีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน?"



ท่านบอกว่า "ทองก็แค่วัตถุจะมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไม่สำคัญ สำคัญว่าคนไทยจะยังมีความโลภเห็นทองเข้าก็จะฆ่ากันหนัก เหมือนแร่ดีบุกที่เขาศูนย์ แร่ดีบุกที่เขาศูนย์น่ะฆ่ากันตายกันเป็นร้อย แต่ว่าถ้าทองคำนี้มันจะตายกันเกือบทั้งชาติ มึงแย่งกู กูแย่งมึง ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ถ้ากำลังชาวไทยอ่อนลงเพราะขาดความสามัคคี มีความโลภ ก็จะทำให้ต่างประเทศบุกรุกเข้ามา ไม่มีใครต่อต้านได้ ผลที่สุดทองทั้งหมดจะเป็นของชาวต่างประเทศ น่าดู และก็คนไทยที่เหลือก็ต้องเป็นทาสเขา ไอ้ทองก็ไม่ได้ กินก็จะไม่มีกิน เขาจะใช้อย่างทาส เขาจะข่มขู่อย่างทาส"



ท่านบอกว่า "ถ้าคนไทยดีกว่านี้เมื่อไรทองนี้ใช้ได้เมื่อนั้น"



ถามว่า "ปริมาณทองมีสักกี่ตัน?"



ท่านบอกว่า "ถ้าหมื่นตันนี่มันยังไม่หมดถึงครึ่ง"



โอ้โฮ แล้วก็ทองคำธรรมชาติไม่มีคำว่าหมด มันจะก่อตัวเกิดอยู่เสมอ



ถามว่า "เหตุที่ทองก่อตัวเพราะอาศัยอะไรเป็นเหตุ"



ท่านก็บอกให้ฟัง แต่ผมจะยังไม่บอกเวลานี้ ใครถามต่อไปก็ไม่บอก เพราะวิชานี้นักธรณีวิทยาเขาทราบกันอยู่แล้ว นักธรณีวิทยามีความรู้ด้านดินมันน่าจะทราบว่าทองเกิดจากอะไร เขาจะรู้ ผมก็ขี้เกียจเอาตำราเป็ด ๆ ไปพูดให้เขาฟัง



หลังจากนั้นแล้วผมก็ถามถึงทองทั่วประเทศ ท่านก็พาดูหมด ทั้งทองคำธรรมชาติและทองที่ปรุงแต่งแล้ว หลอมแล้ว เป็นสร้อยก็มี เป็นแท่งก็มี เป็นเพชรนิลจินดาเยอะแยะ รวยจัด ผมนึก ๆ ยิ้มในใจว่า แค่ทองอย่างเดียว ประเทศไทยก็เป็นมหาเศรษฐีของโลกแล้ว ไม่ต้องแร่อื่น ยังน้ำมันอีก ยังแก็สอีก ยังแร่ต่าง ๆ อีก โอ...มหาศาล ผมยิ้มบ้าอยู่คนเดียว ไอ้เรื่องทองนี้ยังไม่มีใครเขาว่าบ้า ผมเลยต้องว่าบ้าคนเดียว ชื่นใจว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าคนไทยจะดี



ทีนี้มา ผลของการฝึกมโนมยิทธิ ผมอยากจะพูด พูดเสียตอนนี้เลยว่ามีผลดีอย่างไร



มโนมยิทธินี่เป็นความดีทางพระพุทธศาสนา คนที่ได้จะต้องทรงศีลบริสุทธิ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย ตายแล้ว ถ้าเราทำดีไว้เราก็จะไปสู่ที่ดี ทำชั่วไว้เราก็ไปสู่ที่ชั่วที่มีทุกข์ เรียกว่าถ้าอยู่ก็อยู่เป็นคนดี ตายเป็นผีก็เป็นผีดี เมื่อมีความรู้สึกว่าจะต้องตาย คำว่าตายคือไม่ยอมไปอบายภูมิ ก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีความเคารพแน่นอน นี่หลักสูตร



หลังจากนั้นก็มีศึลบริสุทธิ์ อารมณ์จริง ๆ ต้อง



๑. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล



๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว



และเวลาต้องการให้จิตสะอาดเบื้องต้น ก็ต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการให้ทันทีทันใด ยามปกติจะไม่ยอมให้นิวรณ์ ๕ ประการ เป็นเจ้านายบังคับใช้จิตของเรา จิตของเราต้องมีกำลังเหนือนิวรณ์ ๕ ประการไว้เสมอ



นิวรณ์ ๕ ประการคือ



๑. ไม่เมาในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสเกินพอดี



๒. ไม่คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น



๓. ไม่ง่วงเวลาทำความดี



๔. จิตไม่ฟุ้งซ่านพลุ่งพล่านเกินไป ใช้กำลังใจคิดอยู่ในขอบเขตของความดี



๕. ไม่สงสัยผลการปฏิบัติในความดี



หลังจากนั้นต้องทรงอารมณ์ตามนี้อีก ท่านทั้งหลายที่ฟังจำไว้นะครับ หากว่าท่านทรงอย่างนี้ไม่ได้ สมาธิความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มันจะสลายตัว ถ้าทรงไว้ได้ผมขอยืนยันว่า ต้องการใช้เมื่อไรก็มีเมื่อนั้น อารมณ์ต่าง ๆ ที่ได้ไว้ทั้งหมดจะทรงตัวตลอดเวลา ไม่ถอยหลัง มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป



หลังจากนั้นกำลังใจของท่านผู้นั้นต้องทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติคือ



๑. จิตคิดไว้เสมอว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งหลาย ไม่คิดประทุษร้ายใคร มีแต่ความรัก เห็นคนก็รักคน เห็นสัตว์ก็รักสัตว์ เห็นวัตถุก็รักวัตถุ ไม่คิดทำลายทรัพย์สมบัติของใครทั้งหมด



๒. กรุณา มีความสงสารตั้งใจไว้เสมอว่าจะสงเคราะห์มนุษย์และสัตว์เพื่อนร่วมโลกให้มีความสุขตามกำลัง ถ้าโอกาสมีและทรัพย์สินมี ปัญญามี ถ้าเขาขาดวัตถุเรามีวัตถุ เราจะให้วัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเราจะให้แรงกายช่วย ถ้าร่างกายเขาไม่ต้องการ เราจะให้แรงปัญญาช่วย เป็นปัจจัยสร้างความสุขร่วมกัน



๓. มุทิตา เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย



๔. อุเบกขา เห็นคนอื่นเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติมให้มีทุกข์มากไปกว่านั้น เราจะวางเฉย จิตพร้อมจะช่วยเหลือไว้เสมอ



นี่นักเจริญมโนมยิทธิทุกคนต้องทรงอารมณ์อย่างนี้ไว้เป็นปกติ คำว่าปกติมันทุกลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว อย่างนี้ผลของสมาธิที่ได้จะไม่มีการเสื่อม



แต่ว่าผมก็ไม่ยืนยันว่าทุกคนที่เขาฝึกไปได้ เขาจะรักษาไว้ได้ทุกคน บางคนที่ปล่อยสลายตัวก็มี บางคนก็ไม่มาเอาจริงเอาจัง มาแค่วันเดียวปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วก็ไป คล้าย ๆ จะมาลอง ท่านพวกนี้ผมถือว่ายังไม่จริงจังกับพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปเกณฑ์บังคับ ไม่ใช่อยากให้เขามาปฏิบัติ แต่ว่าผลของผู้ปฏิบัติมีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำไปอย่างนั้นไม่ช้าก็สลายตัว เมื่อสลายตัวไปแล้วกำลังจิตจะกลุ้มจะมีความวุ่นวาย จะดึงไม่กลับ ความสามารถความรู้ที่มีอยู่ดึงไม่กลับเพราะมีอาการกลุ้มและก็หลายคนกลับเป็นปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา อันนี้ก็มี
สำหรับคนดีมีอยู่ ผมคิดว่าคนในโลกนี้ผมเกิดมาหนึ่งชีวิต ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงคนเดียวผมพอใจ ก็เรียกว่าถ้าเขาผู้นั้นมีความ รู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตายไม่ประมาทในชีวิต และก็เขาผู้นั้นตั้งใจมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์จริง สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้โดยฉับพลัน ทรงพรหมวิหาร ๔ จิตตั้งไว้ในด้านของความดีโดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน แค่นี้เพียงคนเดียว ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมได้กำไร ได้กำไรชีวิตที่คนดีมีอยู่



แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คนที่รับการฝึกไว้ รักษาตัวไว้ได้จริง ๆ มีนับเกินแสน แสนน่ะเกินแน่ แต่ทว่าจะเกินไปเท่าไรผมไม่ทราบและพวกนี้ที่ทำ ๆ ได้แล้วมีความรักใคร่ มีความสามัคคีเป็นกรณีพิเศษ ดีกว่าไปเทศน์สอนปาว ๆ เพราะว่าผมเคยเป็นนักเทศน์มา เทศน์เท่าไรไม่สามารถจะทำให้คนมีกำลังใจดีขึ้นมาได้ ไปเมื่อไรคนนั้นก็กินเหล้าอยู่ตามเดิม



ทีนี้พอมาฝึกมโนมยิทธิเข้าดีจริง ๆ มีหลายคนพอคิดว่าคนที่เขาจะทำได้ต้องเป็นคนมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ท่านผู้นั้นอยากจะทำบ้าง ก็เลิกเหล้าเลิกฝิ่นมาเลย ทำตัวเป็นคนดีตลอดมา และบางคนยังไม่รู้ลีลา ก็มาถึง เอ้า! เขาห้ามกันแบบนี้หรือก็เลยไม่แปลกใจ ทำกับเขาบ้าง ก็เลยพลอยดีกับเขาไปด้วย



เป็นอันว่ามโนมยิทธินี่เป็นแบบฉบับที่ดี เป็นเครื่องเตือนใจ นรกอยู่ที่ไหนรู้จัก และก็รู้ว่าตนเองเคยตกนรกขุมไหนมาบ้าง ใครทำบาปทำชั่วอะไรตกนรกขุมไหน มีโทษอย่างไรเห็นพบมาเอง เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะกรรมอะไร ทราบ



และนอกจากนั้นยังรู้เรื่องของคนอื่นด้วย เวลาลงไปนรกอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นญาติเป็นพวกเป็นพ้องกันมีไหมในนรกขุมนี้ ๆ ต้องการทราบจะพบทันทีและก็จะเรียกมาคุยกันได้



แต่เวลานี้ญาติโยมนี่ฉลาด ผมก็เสียว ๆ เหมือนกัน เสียว ๆ ความสามารถของญาติโยม ท่านไปนรกท่านก็ขอดูพระในนรกอันนี้ชื่นใจมาก ว่านรกขุมนี้คนที่เคยเป็นพระมีโทษระหว่างความเป็นพระตายแล้วมีไหม ขอดูภาพ เป็นพระเหลืองพรึ่บ ขอดูพระที่เคยรู้จักที่มีชื่อเสียง และเคยรู้จักตัวมีไหม ปรากฏว่าพบทุกราย



บางรายดีกว่านั้นอีกท่านใช้อนาคตังสญาณถามพระตรง ถามว่า



"พระองค์นั้นที่ยังไม่ตายน่ะ เวลานั้นถ้าตายแล้วจะไปสวรรค์หรือนรก...?"



ภาพก็ปรากฏในนรกบ้าง ในสวรรค์บ้าง ที่อื่นบ้าง และขอดูผลการกระทำของท่านผู้นั้นตั้งแต่เริ่มบวชมาทำอะไรบ้าง ปรากฏภาพชัดเหมือนกับดูโทรทัศน์ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ตาสีตาสาเขารู้ คนที่มีปัญญานะ ที่เรายกย่องสรรเสริญว่า ท่านได้ปริญญาบ้าง ท่านเป็นด็อกเต้อร์บ้าง นี่ท่านรู้กันและก็ญาติโยมพุทธบริษัทก็รู้ตาม เวลานี้เข้าใจเรื่องพระมาก บางคนถึงกับมาถามว่า



"การเรี่ยไรการบอกบุญเคยทำเป็นประจำ เพราะคนที่บอกชอบกันจะทำอย่างไร...?"



ก็บอกว่า "เป็นกำลังใจของญาติโยม อันนี้มันเรื่องของศรัทธาไม่ได้ห้าม การให้ทานกับคนที่ไม่มีศีล กับการให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ค่าต่างกันหลายแสนเท่า ยิ่งให้ทานกับคนที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีค่าสูงมาก"



บางท่านจริยาเรียบร้อยน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ลูกหลานไปดูเข้าโดดป๋องไปอยู่ในอเวจีมหานรก อันนี้เป็นที่น่าภูมิใจ พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาให้นักบวชปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา ถ้าพลาดท่าพลาดทางแบบนี้ ชาวบ้านจะได้เลือกเนื้อนาบุญได้ตามชอบใจ ใครอยากได้นาดอนก็ทำบุญกับนาดอน ใครอยากได้นาลุ่มก็หว่านข้าวหว่านพืชกับนาลุ่ม ใครอยากได้นาดีก็หว่านพืชผลกับนาดี



และเหมือนกับคนที่อยากได้บุญมาก ก็ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ มีฌานสมาบิติ เป็นพระอริยะตามขั้นไป



ใครอยากได้นรกไว้เป็นปัจจัยเป็นสมบัติก็ทำบุญกับนักบวชที่ไม่มีศีล ก็หมดเรื่องราว ให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตัดสินใจเอาเอง



แต่ท่านผู้รับฟังอย่าลืมนะ ผมเองก็เสียว ๆ เหมือนกันนะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผมตายแล้วผมจะลงนรกขุมไหน ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าผมเป็นผู้วิเศษนะครับ ผมเองก็ด๊อกแด๊ก ๆ สงสัยเหมือนกันไอ้ขาข้างใดข้างหนึ่งมันแหย่ลงไปขุมไหนบ้างหรือเปล่า



ขอท่านทั้งหลายที่รับฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนภิกษุที่รับฟังอย่าประมาทในชีวิตอย่าคิดว่าเราดีแล้ว ถือคติที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัสว่า



"อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิดไว้เสมอ เราจะได้ไม่ผิดต่อไป



เอาละบรรดาท่านทั้งหลายวันนี้บ้าเรื่องทองพอสมควร ร่างกายก็ยังไม่ดีสัญญาณบอกเวลาหมดแล้วนี่ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน





สวัสดี









แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ตอนที่ ๑๓ บ้ายูเรเนียมและทองคำ

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน สำหรับวันนี้ยังเป็น ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ การป่วยไข้ไม่สบายของผมก็ยังเป็นปกติ เมื่อเช้านี้หมอให้น้ำเกลือไป ๑,๐๐๐ ซี.ซี. แต่ว่าอาการทางร่างกายยังโลเลอยู่มาก วันนี้ถ้ามีการขากเสลดกระแหร่แอมไอก็ต้องขออภัยด้วยเพราะยังอยู่ในระหว่างการป่วยไข้ไม่สบาย แต่พูดวันนี้ก็ขอเล่าเรื่องความบ้าของผมต่อไป "แต่ว่าวันนี้จะเป็นการบ้าเรื่องแร่ยูเรเนียม"

ความจริงเรื่องแร่ยูเรเนียมนี่ผมก็ไม่เคยสนใจว่าในประเทศไทยจะมีหรือไม่มี แต่ความจริงทรัพยากรต่าง ๆ นี่ผมไม่เคยสนใจเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทำจิตมีกังวล แต่ว่าถ้ามีอะไรกระทบใจเข้าหน่อยหนึ่ง ใจมันก็รู้ของมันไปเอง อาการอย่างนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท จงอย่าคิดว่าเราดีเลิศประเสริฐแล้ว ความรู้สึกหรือคำว่า ทิพจักขุญาณ ที่เราได้ ๆ กันนี่มันเป็นเศษผง ๆ เล็ก ๆ ที่พระอรหันต์ท่านได้เท่านั้น แต่ก็ยังดีถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้อย่างเป็ด

สำหรับเป็ดที่เดินได้ บินได้ ดำน้ำได้ ว่ายน้ำได้ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือว่าเป็ดที่เขาทำหลอกไว้ ยังไง ๆ ก็ยังรู้จักคำว่าเดินเป็นยังไง ว่ายน้ำเป็นยังไง ดำน้ำไม่หมดตัวจุ่มแค่หัวก็ถือว่าเป็นการดำน้ำ บินก็ได้ถึงบินสูงไม่ได้ก็รู้จักการบิน ร้องเสียงถึงจะไม่ดังก็ยังรู้จักการร้อง ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือเป็ดปูนปลาสเต้อร์ เป็ดปูนซีเมนต์หรือเป็ดแกะสลักไม้ ซึ่งใช้อะไรไม่ได้เลย

ก็รวมความว่าการฝึกทิพยจักขุญาณของพวกเรา ค่อย ๆ ทำไปอย่าประมาท จงอย่าคิดว่าเราดี เราดีเสียแล้วนี่ไม่ถูกต้อง

ถ้าหากว่าท่านจะถามว่า "ความรู้สึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

ความจริงผมอยากจะพูดให้ฟัง อยากจะปรารภความจริงว่า พวกท่านนี่หรือบรรดาญาติโยมทั้งหลายนี่เก่งกว่าพวกผมมาก การฝึกวิชานี้มาจาก หลวงพ่อปาน แต่ความจริงวิชานี้จริง ๆ นะครับ ผมเริ่มได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี เมื่อความรู้สึกเกิดขึ้นจะถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และก็ไปนอนบ้านไหนคืนแรกจะพบว่าคนบ้านนี้ตายไปแล้วกี่คน และทรัพย์สมบัติมีที่ไหน อะไรบ้างที่มีความสำคัญ แต่ที่รู้นี่ผมก็ไม่ได้ทำให้รู้ มันรู้ขึ้นมาเฉย ๆ สำหรับคนตายเวลากลางคืนเขามาแสดงตัวให้ปรากฏ เขาก็บอกเขาชื่อนั้นชื่อนี้เป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน และก็บอกฐานะความเป็นอยู่ บอกทรัพย์สินนี่เขายังให้ไว้ไม่หมด ลูกหลานยังไม่ทราบ บอกให้บอกด้วย นี่มันก็เป็นความรู้สึก แต่ว่าถ้าคนที่ตายไปแล้วเขาแสดงภาพให้ปรากฏ ผมก็ไม่ทราบว่าได้มาจากอะไร

แต่เหตุที่จะพึงทราบได้ในชาตินี้คือว่าท่านแม่บังคับให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนหลับ ก่อนที่จะหลับจริง ๆ อย่างน้อยต้องว่าให้ท่านฟัง ๓ ครั้งและต่อมาเมื่อโตขึ้นมาแล้วเป็นพระผมก็ใช้อารมณ์สมาธิแบบหนึ่ง คือว่าผมจับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ที่เรามีความพอใจนั่งก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี เห็นอยู่ในอกเสมอ เวลาเดินไปไหนผมก็บังคับให้จิตเห็นภาพพระพุทธรูปในอก และต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธรูปในสมองอีกองค์หนึ่ง ก็เห็นไว้เป็นปกติ ทีนี้ไอ้ความสำคัญว่าถ้าเขาพูดอะไรขึ้นมา ภาพนั้นก็จะปรากฏกับจิตทันที

ถ้าท่านจะถามว่า "ตั้งเวลาไว้เท่าไหร่?"

การเห็นภาพพระพุทธรูปก็ตั้งเวลาผมตั้งเวลาไว้เฉพาะที่ว่าง ว่างจากการงานต่าง ๆ จิตผมมันเห็นเป็นอัตโนมัติ ถ้าว่างจากภารกิจอย่างอื่นมันจะเห็นภาพพระ-พุทธรูปเข้ามาทันที ถ้าเดินไปไหนอันนี้บังคับจริง ให้เห็นตลอดเวลาจนกว่าจะเข้าถึงที่ การทำอย่างนี้เป็นปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกตามเสียงเขาพูด ใครพูดว่ายังไงบางทีเราก็สงสัย บางทีไม่สงสัยเห็นภาพนั้นเลย

อันนี้ก็เป็นมาตั้งแต่เด็ก จากเด็กถึงความเป็นพระ แต่ก็จงอย่านึกว่าเลิศหรือประเสริฐ ยังครับ เป็นชั้นอนุบาลเท่านั้น ความดีอันนี้มันจะสลายตัวเมื่อไรก็ไม่ทราบ

และต่อมาทีนี้ก็พูดถึง แร่ยูเรเนียม ผมก็จำพ.ศ.ไม่ได้ ถ้าจำได้ก็ไปถาม เจ้ากรมเสริม ท่านดูว่า พ.ศ.เท่าไรก็ไม่ทราบ ท่านเอาถ้อยคำของพระองค์หนึ่งมาบอกว่าที่ลำปางมีแร่ยูเรเนียม ท่านก็เอาแผนที่มาให้ดู ไอ้เรื่องแผนที่แผนทางนี่ผมไม่เข้าใจในมันเลย ผมไม่สนใจ ก็เลยบอกท่านว่า

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน (พอท่านพูดความรู้สึกมันก็เกิดว่า) ที่ภูเขาลูกนี้มันมี ๒ จุด แต่ว่า ๒ จุดนี้มีปริมาณไม่สูงแต่อยู่ตื้น ถ้าเจาะขุดลงไปจะไม่ลึก ถ้าเอาเครื่องวัดไปทางเครื่องบิน เครื่องวัดจะสั่นมาก เพราะมันอยู่ตื้น ที่ถึงจุดนี้ปริมาณมันมาก เกรดเหมือนกัน แต่มันอยู่ลึก เครื่องวัดเข็มจะสั่นน้อย ๆ"

ผมไม่รู้ว่าเขาวัดกันด้วยอะไร ความรู้สึกมันบอกเป็นเข็ม ๆ ผมบอกท่านแล้วผมก็ไม่ใช่แน่ใจเลย แต่ว่าผมมั่นใจว่าความรู้สึกเป็นยังไงผมบอกตามนั้นผิดก็ผิด ถูกก็ถูกผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ผมนึกว่าท่านเจ้ากรมเสริมท่านจะไม่ไป รุ่งขึ้นตามเย็นท่านกลับมาบอก

"ไปแล้วครับและก็เป็นตามนั้นจริง ๆ"

ผมก็เลยมีความมั่นใจบอก โอหนอ...ความรู้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าทรงประทานนี่มีคุณมีประโยชน์มาก ต่อมาก็คุยกันถึงเรื่องแร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง ผมก็บอกท่านว่า

"เอายังงี้ดีกว่า รู้แค่นั้นยังไง ๆ เราก็ทำไม่ได้ และเรายังไม่ทราบว่าใครเขาจะเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาได้"

พอกลับมาถึงวัด ไอ้เรื่องต่าง ๆ นี่คุณทั้งหลาย ถ้ามันสะดุดนิดเดียวจิตมันมีสภาพจำ จิตจำได้ผมน่ะเลิกจำ แต่มันจะจำของมัน ก็เป็นอันว่าเมื่อมาถึงวัดอารมณ์เดิมยังค้างอยู่ พออารมณ์สงัดใจสบาย ไม่ใช่นั่งสมาธินะครับ คือนั่งเล่น ๆ ลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือ ก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า แร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง เวลานั้นมันมีความรู้สึกเฉพาะจุดใหญ่ ๆ จริง ๆ ปริมาณสูงมากมีถึง ๑๖ จุด ในประเทศไทย และอารมณ์จิตก็บอกเหมือนกันจุดย่อย ๆ ยังมีอีกเยอะ ขี้เกียจจะรู้ ถ้ารู้ไปก็แค่นั้นแหละไม่ได้มีประโยชน์อะไร คือไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์สำหรับผม ผมเอามาไม่ได้ และคนไทยที่มีความสามารถผมก็ยังไม่ทราบว่าใครแต่ต้องมีแน่

ปีนั้นจำได้ปีที่รู้สึกหนัก ที่รู้ว่าแร่ยูเรเนียมมีมาก คงจะเป็น พ.ศ. ๒๕๑๖ ละมั้ง ผมจำวันเวลารู้ไม่ได้ ไม่ได้จำ แต่ว่าเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ความวุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ผมก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คิดว่าในประเทศนี่มีใครบ้างไหมที่เขามีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียม ถ้ามีก็จะดีมาก ความจริงผมมีความรู้สึกว่าผมอยากจะพบคนที่มีความรู้ความสามารถ เรื่องเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาใช้และนึกในใจว่าถ้ามีจริง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลใจบุคคลนั้นมาพบภายใน ๓ วัน

แต่ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์วันที่สามเมื่อนอนเล่นลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือเหมือนกัน เวลานั้นกระแสไฟฟ้ามันก็มีด๊อกแด๊ก ๆ กลางวันเขาก็ไม่ค่อยจ่าย จ่ายกลางคืนเป็นต้น และก็กำลังกระแสไฟฟ้าก็น้อย เราก็ต้องไปพักอาศัยลมธรรมชาติโคนต้นไม้มันสบาย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณจะไม่ถึง ๔๐ รูปร่างขาวหน้าตาดี นั่งรถเมล์ผ่านมา เมื่อรถเมล์มาถึงหลังวัดท่านก็ลง ลงแล้วก็เดินเข้ามา ความจริงคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย หน้าตาท่านดี อัธยาศัยท่านดีมาก เป็นคนนิ่มนวลน่ารัก พูดจาก็ดี คุยไปคุยมาผมก็สงสัยในท่านว่าท่านผู้นี้เป็นใคร ไม่เคยรู้จักมาก่อนแล้วมาก็ไม่แสดงว่าจะมีธุระอะไรสักอย่าง มาคุยเฉย ๆ ก็เลยสงสัยว่าคนนี้จะมีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียมไหม ก็ถามท่านว่า "ท่านเคยศึกษาเรื่องนำแร่ยูเรเนียมขึ้นมาจากพื้นดินไหม?"
พอพูดเรื่องแร่ท่านบอก "โอ หลวงพ่อครับผมเรียนเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ แร่ทุกประเภทผมมีความเข้าใจ ผมศึกษาเรื่องแร่ สำหรับยูเรเนียมนี่เราเอาขึ้นมาได้ครับ เอาขึ้นมาได้แน่ และมีประโยชน์ ผมสามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะว่าผมเรียนและก็ฝึกเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ"

รวมความว่าท่านทั้งเรียนท่านทั้งฝึกท่านมีความมั่นใจ แต่ท่านบอกว่า "ถ้าจะนำขึ้นมาต้องเพิ่มค่ากระแสไฟฟ้ากำลังไฟฟ้ามากกว่านี้ครับ เพราะกำลังไฟฟ้าแค่นี้ ไม่พอใช้ ต้องใช้กระแสไฟฟ้ายิงเป็นจังหวะ ๆ ให้รังสีมันห่อตัว"

ผมก็ขอพูดทิ้งไว้ตรงนี้ เป็นอันว่าก็ปลื้มใจว่า เอ๊ะ! ประเทศเราคนที่มีความสามารถยังมีอยู่ ฉะนั้นในเมื่อโอกาสดี จังหวะถึง กาลเวลาก็มาถึง แร่ยูเรเนียมคงทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาก


หลังจากนั้นต่อมาถอยหลังจาก พ.ศ. ๒๕๒๗ ไปประมาณ ๒-๓ ปี ผมก็จำไม่ได้ ผมก็ไม่ค่อยสบาย ร่างกายมันก็ทรุดโทรมป่วย ๆ นั่งรับแขกวันนั้นเป็นการบังเอิญ ญาติโยมพุทธบริษัทไม่ค่อยจะมีใครมา มีญาติโยมผู้ใหญ่คือผู้เฒ่ามากัน ๓-๔ คน แล้วก็เดินทางกลับ แต่ว่าท่านผู้เฒ่า ๓-๔ คนจะกลับ ก็มีเด็กสาว ๆ เธอหน้าตายังสาว แต่งงานแล้วหรือยังไม่ทราบ เธอบอกว่าเธอเป็นนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ใช่ เป็นคำบอกเล่าของเธอ เรื่องคนนี่ผมขี้เกียจสงสัย เขาว่ายังไงก็ว่าตามนั้น เธอมาถามว่า

"หลวงพ่อเจ้าคะ (พูดเก่งน่ารัก) ประเทศไทยมีแร่ยูเรเนียมไหม?"

ก็บอกเธอว่า "ฉันไม่ได้สำรวจละเอียด แค่กระทบใจเท่านั้น ทราบว่า แหล่งใหญ่ ๆ ของเรามี ๑๖ แห่ง และก็เป็นแร่ยูเรเนียมที่มีคุณภาพสูงกว่าต่างประเทศเขา"

แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า "ที่หลังจังหวัดอุทัยฯ นี่มีไหมหลวงพ่อ?"

ตอนนี้ผมก็เล่นเพลงเดา ผมก็ถามว่า

"หนู คณะของหนู ๕-๖ คนนี่ไปพบมาแล้วใช่ไหมที่หลังจังหวัดอุทัย?"

พวกเธอก็พากันหัวเราะบอกว่า "ใช่เจ้าค่ะ" ถามว่า "หลวงพ่อทำไมจึงรู้?"

ก็เลยบอกว่า "หลวงพ่อคนแก่ก็เดา ๆ"

ถ้าเธอปรารภที่ไหนแสดงว่าเธอไปมาแล้วจากที่นั่น เธอก็บอกไปมาแล้ว ก็เลยยอมรับว่า ในป่าหลังจังหวัดอุทัยออกไปนั่นหมายถึงว่าถึงแม่น้ำเมยไปเลยนะพุ่งตรงออกไปเลยหรืออาจจะใกล้เมืองกาญจน์ก็ได้ มียูเรเนียมขนาดหนักเป็นปริมาณสูงกว่าที่อื่นและเกรดดีมาก

ก็รวมความว่าผมพูดเรื่องนี้นะ อันนี้เป็นความบ้าส่วนหนึ่ง แต่บ้าลับ ๆ ไม่มีใครเขาว่าบ้ามาก ๆ เหมือนกับบ้าน้ำมันเพราะบ้าน้ำมันถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและก็ลงเป็นหนังสือ เลยบ้ายาวไปหน่อย บ้าไกล บ้ายาว บ้ามีปริมาณสูง แต่ก็ไม่เป็นไร พอพ.ศ. ๒๕๒๔ ผมก็เลิกบ้า หยุดการบ้า และผมก็มาบ้ากระตุ๋มกระติ๋ม ๆ เรื่องแร่ยูเรเนียม และต่อมาก็เรื่องทอง สิ่งนี้ผมสนใจจริง ๆ อย่างอื่นผมไม่มีความรู้กับเขา พวกแร่ต่าง ๆ มันมีค่าอย่างไรผมไม่รู้ถ้าให้ผมไปขุดแร่ ผมก็เสียแรงเปล่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมไม่รู้ค่าของแร่ มันเหมือนกับไก่ไม่รู้ค่าของเพชรและพลอย เห็นก็เป็นเห็นธรรมดา

แต่สิ่งที่ผมสนใจมากก็คือทองคำธรรมชาติหรือทองคำที่เขาถลุงหลอมแล้ว แต่ว่าทำเป็นสร้อยหรือไม่ทำก็ตามว่า "ในพื้นพิภพภายใต้แผ่นดินของเมืองไทยนี่มีไหม?"

ในเมื่อความสงสัยเกิดขึ้น อารมณ์ดวงหนึ่งก็เกิดขึ้น "จะยุ่งทำไมนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของโลก และเราถ้าติดอยู่ในภาวะของโลก เราก็ไม่สิ้นทุกข์ ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราควรจะวางอารมณ์เสีย ไม่ควรจะยุ่ง รู้ไปก็ไม่ใช่เรื่อง" แต่ต่อมาอารมณ์หนึ่งมันก็เกิด

อารมณ์หนึ่งมีความรู้สึกว่า "รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม" ตามคติของโบราณ รู้ไว้จะเป็นอะไรไปจะได้ทราบว่าทองคำธรรมชาติมันก็เป็นโลหะประเภทหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วถ้าคนไม่นิยมมันก็ไม่มีค่าอะไร เป็นโลหะประเภทสีเหลือง ๆ และความจริงโลหะที่เป็นสีเหลืองไม่ใช่ทองคำก็เยอะไป เวลาเขาทำกันก็ทำกันได้สีสวยกว่าทองคำ แต่ว่าคนไปยอมรับว่าทองคำมีค่าสูง ฉะนั้น ทองคำจึงมีความสำคัญสำหรับโลกอยู่มาก ทุกประเทศถือทองคำเป็นสำคัญ จะซื้อข้าวซื้อของกันก็ถือว่าต้องทองคำเข้าไปแลกเปลี่ยน
ก็เป็นอันว่าไอ้จิตดวงนั้นมันก็บอกมีความรู้สึกควรจะรู้ แต่ผมก็เก็บอีกดวงหนึ่งบอกอย่ายุ่งเลย นี่อารมณ์ของคนไม่เสมอกันนะคุณนะ

บรรดาท่านที่รับฟังและญาติโยมพุทธบริษัทดูอารมณ์ให้ดี คืออารมณ์หนึ่งมันต้องการจะรู้ เมื่อต้องการจะรู้ขึ้นมาแล้ว ความโลภมันจะมีไหม แต่ว่าผมขอยืนยัน ความโลภอย่างอื่นอาจจะมี มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่ว่าความโลภเรื่องขุดทองคำไม่มีแน่ ผมจะเล่าเรื่องราวขุดทองคำของพระท่านหนึ่งมันก็ยาวเหยียดเกินไป ขอเล่าเรื่องนี้ไปก่อน ทีหลังถ้านึกได้ก็คุย

เป็นอันว่าวันนั้นก็ตัดอารมณ์ ต่อมาหลังจากนั้นแล้วไม่นานมันเป็นเวลากาลประมาณเดือน ๗ เขาเรียกว่าเดือน ๗ ก็แล้วกัน ไอ้เดือนพฤษภา มิถุนาน่ะไม่ต้องพูดกัน เอาเดือนแท้ ๆ คือเดือนไทยแท้ ๆ คือเดือน ๗ ก็มีภารกิจไปดำเนินสะดวกคือไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง เธอนิมนต์ประจำปี แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้ไปมา ๒ - ๓ ปีแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ อยู่ที่วัดนี่แค่ลงสอนกรรมฐานยังไม่ไหว ถ้าเดินทางไกลขนาดนั้นก็จะแย่ใหญ่ก็ต้องงด

ไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง แล้วก็เลยไป จังหวัดชุมพร ไปที่อำเภอท่านแซะ (น่ากลัวเขาเรียกว่าอำเภอท่าแซะนะ) ก็ไปหมู่บ้านใกล้ ๆ ซึ่งหมู่บ้านไม่โต ตัวอาคารก็ไม่โต ไปที่นั่นเขามีการไหว้ประจำปี ทำบุญประจำปีกัน ประเพณีการทำบุญประจำปีเพื่อความอยู่เป็นสุข ก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้เทวดา ไหว้พระ เป็นของธรรมดาของคน แต่ว่าคนจะคิดว่าไหว้เทวดาเป็นของไม่ดี เป็นเรื่องของท่าน แต่ก็จงอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ในอนุสสติ ๑๐ ประการในพระกรรมฐาน มีเทวตานุสสติ การนึกถึงเทวดาไว้ด้วย ฉะนั้นผมถึงเห็นว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาทำไม่ผิด

เวลาที่เขาบูชากันเขาก็นิมนต์ผมไปนั่ง ผมก็ไป ในเมื่อเขานิมนต์ไปเราก็ไม่เสียหายอะไร เขานั่งก่อนที่เขาจะไหว้ศาล เขาจะไหว้เทวดา เขาก็ไหว้พระก่อน ผมก็นึกในใจว่าผมเป็นพระดีพอที่เขาจะไหว้แล้วหรือยังก็ไม่ทราบ เพราะผมเองไม่มีความรู้สึกว่าผมเป็นคนดี

ขณะที่เขาไหว้เขาบูชาเขาสวดกันมันก็ใช้เวลา และเวลาที่ต้องใช้ เวลาใช้นานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าพิธีกรรมเขาจะเสร็จ ผมก็ไม่มีเวลาจะคุยกับใคร เขาวุ่นวายกันอยู่ ผมก็นั่งเฉย ๆ เวลานั้นมีความรู้สึกว่ามีเทวดา ๔ องค์ เรื่องเทวดานี่ผมเชื่อ ๔ องค์ท่านก็ประกาศตัว ท่านบอกว่า

"องค์นี้คือท้าวเวสสุวัณ องค์นี้ท้าวธตรฐ องค์นี้ท้าววิรุฬหก องค์นี้ท้าววิรูปักษ์ เป็นท้าวมหาราชทั้ง ๔"
ท่านมาท่านก็ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องปลาในทะเลซับใช่ไหม?"

เรื่องปลาในทะเลซับมันเป็นอย่างนี้


มีหนองอยู่เป็นหนองใหญ่ มีน้ำตลอดเวลา มีปลาชุมมาก เป็นที่หากินของชาวบ้านเลี้ยงชาวบ้านได้ดี แต่ว่าปลาตัวที่ตั้งใจเลี้ยง ไม่ตั้งใจเลี้ยง ผมก็ไม่ทราบ แต่ว่าชาวบ้านก็ไปจับเอามากิน ต่างคนต่างก็จับเอามาแค่พอกิน ไม่ซื้อไม่ขาย

วันหนึ่งท่านผู้มีสตางค์ก็จะทำสวนทุเรียนที่นั่น ท่านก็หวังความร่ำรวยจากหนองใหญ่ที่มีปลามาก ปลาชุมเหลือเกิน ผมก็เดินผ่านไปเห็น แต่ว่าพอเอาเครื่องสูบน้ำ สูบน้ำกว่าจะเสร็จหลายเครื่อง กว่าน้ำจะแห้งใช้เวลาก็เย็น ใกล้ค่ำ ไม่ใช่ใกล้ค่ำ เป็นค่ำเลย ต่างคนต่างเห็นปลามากมาย ทุกคนคิดว่าพรุ่งนี้เถอะ ทุกคนตั้งแค้มป์ล้อมไว้ ใครมาเอาไม่ได้แน่ แต่ว่าพอตอนเช้า ปรากฏว่าปลาหายหมด เหลือปลาอยู่ ๓ ตัวนอกนั้นไม่รู้ไปไหน และก็มีนายบุญสม เจ้าของบ้านเคยไปที่ถ้ำปลา เขาเล็ก ๆ ต่ำ ๆ เป็นถ้ำลงไป เธอบอกว่า

"มีโพรงลงไปเคยใช้พะองต่อไปเห็นน้ำ น้ำกว้างขวางมากไม่รู้ไปถึงไหน เคยทำแพหยวกกล้วยลอยไปไม่รู้ว่าที่สุดไปที่ไหน กว้างขวางมาก"

พอเธอเล่าให้ฟังผมก็สงสัยตอนนี้ว่า ไอ้ทะเลน้ำจืดอยู่ใกล้ ๆ ทะเลน้ำเค็ม และก็บริเวณนั้นมีปลามาก เธอบอกมีปลามากมายเหลือเกิน ปลามาจากไหน อยู่ได้อย่างไร แปลกใจใต้ดิน เรื่องนี้สงสัย ท่านท้าวมหาราชท่านหนึ่งที่ท่านให้นามว่า "ท่านเวสสุวัณ" ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องทะเลซับใช่ไหม ผมจะพาไปดู"

รวมความแล้วท่านก็พาไปดู ตามความรู้สึกแล้วเหมือนฝัน ว่าท่านไปไหนก็ไปด้วยกัน ลงไปดู โอ...ทะเลซับเขาเรียกทะเลถูก แต่ว่าความจริงที่เขาเรียกทะเลซับ มันเป็นหนองน้ำใหญ่แต่ไม่ใหญ่เท่าปริมาณของน้ำจริง ๆ ภายในนั้นมันกว้างขวางมากมายนัก ปลาตัวเล็กตัวใหญ่ขนาดหนัก ใหญ่ขนาดโลมานี่ก็มีเยอะ

ผมไปพบปลาหมอตัวหนึ่ง ปลาหมอนาเรานี่ โอ้โฮ! ใหญ่เหลือเกิน จะเทียบกับเรือพายก็เรือหมูขนาดใหญ่ และท่านก็ชี้ให้ดูฝูงปลาหมอก็มาก ปลาอะไรต่ออะไรก็มาก ปลาช่อนปลาดุกก็เยอะแยะ ปลาเค้ามันใหญ่ ๆ ใหญ่จริง ๆ ยังนึกในใจว่า ปลาพวกนี้ต้องมีอายุเป็นสิบหรือเป็นร้อยปี ก็ยักนึกดีใจว่าเธออยู่สถานที่นี้ปลอดภัยแก่เธอมาก

เมื่อผ่านจากที่นั่นไปแล้วท่านก็พาเรื่อยไปขึ้นจากทะเลใต้ดินขึ้นไปช่วงในระหว่างภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมันยาวเหยียดอยู่เหนือพื้นที่ที่พัก เป็นภูเขายาวมาก ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ยาวเหลือเกิน ในนั้นเป็นทองแท่ง ทองแท่งนี่ความกว้างหรือความหนานะของแต่ละแท่งประมาณ ๑ ฟุต ยาวจริง ๆ ประมาณ ๓ ฟุตแต่ละแห่ง และกว้างจริง ๆ ก็ประมาณฟุตเศษ ๆ วางเรียงเป็นตับเป็นกำแพงสูงเหนือหัวผมเป็นไหน ๆ สูง จริง ๆ ประมาณ ๑๐ เมตร วางเรียงกันนับเป็นแถวได้ ๑๐ แถว และยาวเกินครึ่งกิโลเมตร เป็นทองแท่งมหาศาล ผมก็ตกใจ เอ๊ะ ต้องถามทองอะไร พอถามท่านเวสสุวัณว่า "ทองอะไร มาอยู่ที่นี่ และใครนำมาเก็บ?" ท่านท้าวเวสสุวัณไม่ทันจะตอบ ก็มีเทวดา ๒ องค์เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่งตัวสีแดงประดับเพชร มาถึงท่านก็ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณ บอก "ท่านครับ ทองนี่เป็นทองสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าใครเป็นพระเจ้าจักรพรรดิขึ้นมาต้องขนไปให้เขา ถ้าใครจะนำไปน่ะ นำไปไม่ได้นะครับ"
ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า "ฉันพาพระท่านมาดู ฉันไม่ได้มาเอาหรอก ไม่ได้มาขนทองของเธอ"


เทวดาทั้งสององค์ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณแล้วก็หลีกไป


ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็เลยบอกว่า "เอางี้ก็แล้วกันครับ ในเมื่อเจ้าของเขาหวง ผมพาพระคุณเจ้ามาชมว่าไอ้ทรัพย์ใต้ดินมันมีมาก มากกว่านี้ เราก็ไปที่อื่นกันดีว่า เขาหวงเราก็ไป"

ท่านก็พาไปความรู้สึกว่าไปใต้ดิน ไปเจอะทองอีกแหล่งหนึ่ง คราวนี้ไม่ค่อยจะไกล ขึ้นมาทางเหนือจากบ้านนั้นตามถนนสายชุมพรประจวบ ถ้าเดินทางขึ้นมาประมาณ ๓๐ กิโลเศษ ๆ แล้วก็จะมีทางเดินออกไป ถ้าเดินผิวดิน ออกไปจากถนนเส้นนั้นห่างประมาณ ๘ กิโล ไปเจอะแหล่งทองคำธรรมชาติมหาศาลเลย โอ้โฮ...กว้างใหญ่ไพศาลมาก ปริมาณเนื้อที่ที่ทองธรรมชาติกองอยู่ ดูแล้วร้อยไร่เศษเกือบจะถึง ๒๐๐ ไร่และทองอยู่หนาเป็นเม็ดทรายธรรมชาติจริง ๆ สวยสุกอร่าม

แต่บรรดาท่านทั้งหลาย จะพูดอะไรกันไปได้ในเมื่อสัญญาณบอกเวลาปรากฏว่าหมดแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน เรื่องทองนี่เอาไว้ฟังกันในคาสเซทหน้าต่อไป สำหรับเวลานี้ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ตอนที่ ๑๒ ผมบ้า (ต่อ)

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สำหรับหน้านี้หรือว่าตอนนี้เป็นตอนจบเรื่องน้ำมัน "บ้าเพราะน้ำมัน" แต่แล้วผมก็ยังไม่เลิกบ้า พอพ้นเขตจากการบ้าน้ำมันแล้วผมก็จะบ้าต่อไปอีก

ก็รวมความว่าเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๒๔ เรื่องความบ้าของคนเริ่มสลายตัวไปชั่วคราว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบังเอิญจริง ๆ ทางเจ้าหน้าที่หรือบริษัทที่เจาะน้ำมัน ไปพบแก๊ส พบน้ำมันเข้าตามที่พูดไว้ แต่ก็จงอย่านึกว่าผมเป็นผู้วิเศษบันดาลให้ของทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นธรรมชาติ ต้องถือว่าเทวดาท่านดี และก็ต้องยอมรับนับถือความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านให้วิชาความรู้และก็ช่วยให้ผมพูดตรงตามความเป็นจริง

เป็นอันว่าการกระทำกับอารมณ์ที่นำเรื่องนี้มาพูด ก็ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า การนินทาและการสรรเสริญ จงอย่าถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ให้ถือจริยาที่เราประพฤติปฏิบัติเป็นสำคัญ เพราะว่าการนินทาและการสรรเสริญ ถ้าเราจะหลบมันก็หลบไม่ทัน ถ้าเราจะโกรธคนนินทา โกรธคนเขาสรรเสริญมันก็หลบไม่ทันอีก เราก็ต้องโกรธกันไม่หยุด ในเมื่อเราต้องโกรธไม่หยุด ความสุขจริง ๆ ของจิตใจมันก็ไม่มี มันจะมีแต่ความวุ่นวายของใจไม่หยุดเหมือนกัน

ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรค่อย ๆ จำกัดความโกรธไว้อยู่ในขอบเขต อันดับแรกอย่าเพิ่งคิดว่า เราจะเลิกความโกรธได้ทันทีทันใด ให้ค่อย ๆ ระงับความโกรธ จำกัดความโกรธไว้ในขอบเขต
อันดับแรกจำกัดความโกรธไว้ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ คือ

๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา

๓. สีลัพพตปรามาส

สังโยชน์ ๓ ประการนี้ถ้าใครละได้เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี คำว่า สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ทำใจเราให้วุ่นวายจากกิเลส นั่นหมายความว่าเราตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส

วิธีจำกัดความโกรธเป็นอย่างไร ?

ในสมัยที่เราเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส เราไม่มีการจำกัดความโกรธได้เลย นั่นหมายความว่าแทนที่เรากำจัดหรือจำกัดให้มันน้อยลงอยู่ในขอบเขต แคบ ๆ เรากลับชอบทวีคูณความโกรธให้มากขึ้น เมื่อโกรธแล้วก็อยากจะขังความโกรธไว้นาน ๆ แล้วหาทางจองล้างจองผลาญ พิฆาตเข่นฆ่าคนอื่นที่เราโกรธ เนื้อแท้จริง ๆ ผลมันไม่มีสำหรับเขา ถ้าเราคิดมันก็มีแต่ความกลุ้ม ถ้าเราไปทำร้ายเขาจริง ฆ่าเขาจริง เราก็จะเพิ่มความวุ่นวายของจิตมากขึ้นเพราะเป็นการก่อศัตรู เราก็ไม่มีความสุข คณะของเขาเองเขาก็ไม่มีความสุข แทนที่คนที่เราโกรธจะตายแต่ผู้เดียวหรือเป็นศัตรูกับเราแต่ผู้เดียว เราก็จะเพิ่มศัตรูมากขึ้นก็หมายถึงพวกเขาหมู่ญาติพี่น้องของเขา อันเป็นที่รักเขา เขาก็ต้องโกรธเรา ต้องประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา อันนี้ไม่มีอะไรดีเลย
วิธีกำจัดความโกรธไว้ในขอบเขตเล็ก ๆ ก็คือใช้อารมณ์ของพระโสดาบันก่อน

ความจริงอารมณ์พระโสดาบันนี่ถ้าใครทรงไว้ได้ แต่ว่าทั้งนี้ทั้งหมดขอทุกท่านได้โปรดจงอย่าคิดว่าเราเป็นพระโสดาบัน เรื่องมีความรู้สึกว่า เราเป็นผู้ทรงฌานก็ดี เป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคาหรืออรหันต์ก็ดี จงอย่ามีความรู้สึกตามนั้น ถ้ามีความรู้สึกตามนั้นมันจะกลายเป็นมานะทิฐิ เพราะว่าเรายังไม่หมดกิเลส ไป ๆ มา ๆ เราก็จะถือตัวว่าคนคนนี้ไม่มีการทรงฌาน ไม่มีฌานสมาบัติ คนนี้มีฌานสมาบัติแต่ย่อหย่อนกว่าเรา ความเลวมันจะเกิดขึ้นกับใจ เป็นมานะ ถ้าเราไปปฏิบัติหรือประพฤติตามกฎแห่งการละสังโยชน์ ถ้าคุมอารมณ์ละสังโยชน์ได้ก็จะคิดต่อไปว่าผู้ทรงฌานโลกีย์สู้เราไม่ได้ เราเป็นพระอริยเจ้าอันนี้เพิ่มความเลวมากขึ้น

ก็รวมความว่าอย่าคิดเลยว่าเราได้ขั้นไหน เราทำอะไรได้ เป็นพระอริยเจ้าหรือเปล่า เป็นผู้ทรงฌานหรือเปล่า ไม่ต้องคิด คิดอย่างเดียวว่า รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุข และคิดไว้อย่างเดียวว่าอย่างน้อยชาตินี้เราเกิดเป็นคน เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิต่อไป

สิ่งที่จะทำให้เราไม่ลงอบายภูมิ ก็คืออารมณ์ของพระโสดาบัน อารมณ์ของพระโสดาบันถ้าเราทรงไว้ได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่มีสำหรับเราต่อไปอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอบายภูมิรังเกียจ ที่ว่าอบายภูมิรังเกียจก็เพราะว่าเรามีความดีมากเกินกว่าที่จะลงอบายภูมิ รวมความแล้วบาปกรรมเก่า ๆ ที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีไม่สามารถจะนำเราลงอบายภูมิได้ต่อไปอีก

วิธีปฏิบัติทำยังไง วิธีปฏิบัติจริง ๆ ก็คือให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงในด้าน สักกายทิฏฐิ

สักกายทิฏฐิ นี่ตามหนังสือท่านแปลว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

คำว่าร่างกายนี้ผมใช้แทนคำว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ จริง ๆ ก็คือร่างกาย และขันธ์ ๕ ทั้งหมดที่มี ๕ อย่าง สิ่งที่มีความจำเป็นจริง ๆ ก็คือ รูป เพราะขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ

สิ่งใดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าสิ่งนั้นเรียกว่า รูป

เวทนา ได้แก่ความเสวยอารมณ์ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขบ้างไม่ทุกข์บ้าง

สัญญา ได้แก่ ความจำ

สังขาร ได้แก่อารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ คืออารมณ์ที่เป็นกุศลใจก็สะอาด ใจดี ถ้าอารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้าครอบงำใจ ใจก็สกปรก ใจเลว และ

วิญญาณ ได้แก่ ความรู้สึกทางประสาท วิญญาณนี้ไม่ใช่จิตนะครับ วิญญาณกับจิตคนละดวงกัน คนละอย่าง วิญญาณมีความรู้สึกอย่างเดียวไม่มีความคิด คืออารมณ์คิดไม่มี จิตน่ะมีอารมณ์คิด ไม่ใช่วิญญาณ เข้าใจตามนี้

สำหรับหนังสือที่ท่านเขียนไว้ว่า "การตัดสักกายทิฏฐิ ต้องตัดเห็นว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา" อันนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ครับ ความจริงท่านเขียนไว้สุดยอดถูก แต่ว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องมาเลยก็จะเข้าใจผิดคิดว่าคนอย่างเราไม่สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้ ความจริงที่ท่านเขียนไว้นั้นหมายตัดสูงสุดเป็นอรหันต์ นั่นพูดถึงการตัดกิเลสกัน ตัดกิเลสเพื่อความเป็นอรหันต์

ที่นี้เรามาตัดกันแค่ถ้าจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามี เป็นการจำกัดความโกรธไว้ในขอบเขตก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ร่างกายนี้อยู่ไม่ตลอด มันไม่รอดแน่นอน ต้องตายแน่ ก่อนจะตายเราไม่ยอมไปอบายภูมิ เพราะเป็นคนแล้วนี่ เป็นคนแล้วกลับไปเป็นสัตว์นรกอีกก็ถอยหลังลงคลอง ไม่ใช่ถอยหลังลงคลอง ถอยหลังลงก้นคลองไปเลย จมดิ่ง กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงความเป็นมนุษย์อีกแสนกัป ไม่มีโอกาส เราขาดทุนมาก งั้นคุมอารมณ์ไว้ ถือว่าจะไม่ยอมไปนรก เพราะยึดคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง หมายความว่า เราคอยถึงเราไว้ไม่ยอมให้หย่อนตัวลงนรก

หลังจากนั้น รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ คือไม่คิดจะฆ่าสัตว์ ไม่คิดจะทำร้ายสัตว์หรือบุคคล ไม่ลักทรัพย์สมบัติของใคร และก็ไม่คิดจะลักทรัพย์สมบัติของบุคคลใดด้วย ลักไม่ลัก โกงก็ไม่โกง ไม่ยื้อไม่แย่งทุกอย่าง พอใจในเฉพาะทรัพย์สินที่เราหามาได้โดยชอบธรรม และก็ไม่ยื้อแย่งบุคคลรักของบุคคลอื่น ความจริงคนรักคนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว ประคับประคองกันไม่หวาดไม่ไหว การประครองกันไม่สำคัญ สำคัญเวลาหากิน เวลานี้ทรัพย์สินก็หาได้โดยฝืดเคือง มันยาก แค่คนรักคนเดียวต่างคนต่างรักกันก็พอใจ รักมาก ดีมาก หมายถึงรักมากแต่บุคคลน้อยบุคคลเดียวเรารักให้มาก ก็มีความสุข นี่พูดถึงคนรักษาศีล

และต่อไปเราก็พยายาม พูดตามความเป็นจริง เรื่องพูดนี่พูดเฉพาะตามความเป็นจริง ไม่พูดปดอย่างเดียวก็ยังเป็นการสะเทือนใจกัน คือยังมีการกล่าวคำหยาบมีการยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกัน พูดวาจาไร้ประโยชน์ ฉะนั้น ก็เว้นเสียให้หมด เว้นคำพูดที่ไม่จริง เว้นคำพูดที่เป็นเครื่องเสียดแทง คือการกล่าวคำหยาบให้เขาสะเทือนใจเว้นจากการส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือนินทากัน และก็เว้นจากการพูดด้วยวาจาที่เหลวไหลไร้ประโยชน์

รวมความว่าวาจาทั้ง ๔ ประการ ถ้าเราใช้เป็นเครื่องสะเทือนใจมาก ดีไม่ดีขัดใจกัน โกรธกันเราก็งดมันเสียเลย ใช้แต่วาจาจริง วาจาไพเราะที่น่าฟัง วาจาสังสรรค์ความสามัคคี วาจาที่มีประโยชน์ แค่นี้พอ

และต่อไปก็ เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เพราะสุราเมรัยนี่มันมีแต่โทษ ประโยชน์ไม่มี ประโยชน์มีสำหรับคนเลว แต่บัณฑิตถือว่าเป็นโทษ บัณฑิตหมายถึงคนรู้ คนฉลาด และก็มีกำลังใจไว้เฉพาะคิดว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดีจะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มีความวุ่นวายตามที่กล่าวมาแล้วเป็นเทวดาหรือพรหมมีความสุขจริง แต่มีความสุขไม่นาน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องโดดป๋องลงมาใหม่ โดดมาค้างที่เมืองมนุษย์ก็ยังบุญตัว ส่วนใหญ่ไปลงอเวจีไปเลย ฉะนั้นเราไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

นี่ผมก็เลยมาชวนท่านบ้าเรื่องนิพพานกันไปอีก เขาว่าบ้าเรื่องน้ำมัน บ้าเรื่องวัตถุธาตุแล้ว ก็ไม่พอ มาบ้าเรื่องนิพพาน ความจริงเรื่องน้ำมันก็พ้นบ้าไปแล้ว พอถึง ๒๕๒๔ เขาเจาะน้ำมันพบ ผมก็พ้นบ้า

ทีนี้เรามาจำกัดความโกรธ ถามว่า "พระโสดาบันยังมีความโกรธไหม?"

ก็ต้องตอบว่า พระโสดาบันยังมีความโกรธ แต่ว่าจำกัดความโกรธไว้ในวงแคบ พระโสดาบันโกรธจริงแต่ความรุนแรงน้อย เพราะเกรงอบายภูมิ อาจจะมีความโกรธ ถ้าพระโสดาบันขั้นต้นความโกรธยังรุนแรงอยู่บ้าง แต่ว่าจิตคิดจะ

ต่อไปพระโสดาบันขั้น สัตตักขัตตุง อย่างหยาบ พระโสดาบันขั้นกลาง โกลังโกละ อันนี้ความโกรธของพระโสดาบันขั้นนี้ก็มี รวมความว่าขั้นไหนก็มี ก็โกรธทั้งนั้น ความโกรธขั้นรุนแรงที่คิดจะประหัตประหารให้ถึงตายไม่มี ความไม่ชอบใจมีมากยังมีอยู่ แต่ว่าระงับสั้นเข้า คือหายเร็วเข้า ให้อภัยเร็ว

ต่อไปพระโสดาบันละเอียดเรียกว่า เอกวิชี มีความสะเทือนใจน้อยเต็มทีจิตให้อภัยมากขึ้น

รวมความว่าเรากำจัดความโกรธไว้ในวงแคบ ๆ ตามระยะ อยู่ ๆ เราจะบอกฉันเลิกโกรธ อันนี้มันไม่ได้ ต้องคิดว่าสามีภรรยากัน กว่าจะแต่งงานกันได้ก็ต้องใช้เวลา บางทีบางคนก็ใช้เวลามาก ๆ แต่เวลาเลิกกันมันยาก ต้องใช้เวลามากหน่อย เพราะความรักมันผูกพันแน่นหนาเสียแล้ว เหมือนกับความโกรธกับเราก็เหมือนกัน ความโกรธกับเรามันคบหาสมาคมกันนับอสงไขยกัป นับไม่ถ้วน ที่ว่าไม่ถ้วนก็ไม่รู้กี่อสงไขยกัปอยู่ ๆ ก็จะผลักให้มันโดดไปเฉย ๆ ไม่ได้ ก็ต้องค่อย ๆ ผ่อนทีละน้อย ถ้าเรากำจัดขอบเขตของความโกรธได้อย่างนี้ ก็รวมความว่าอบายภูมิไม่มี ความสุขก็มีขึ้น

ต่อไปก็จำกัดความโกรธให้ละเอียดลงไปอีกนิดหนึ่ง ขั้นสกิทาคามี ขั้นสกิทาคามีมีความรู้สึกถึงการตัดสังโยชน์เหมือนกัน แต่การให้อภัยมีเหตุมีผลมากขึ้น จิตใจมีความฉลาดมีปัญญามากขึ้น มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ต้องการโกรธกับใคร มีอย่างเดียวต้องการความรักความเห็นใจ ความเป็นเพื่อนกันแต่ว่าที่ต้องโกรธก็เพราะว่ากิเลสบางอย่างเข้ามาแทรกแซงใจ ทำลายความดี ฉะนั้นคนที่ทำไม่ดีและสะเทือนใจผู้อื่น บุคคลนั้นไม่มีเจตนาแท้ แต่ว่าผีกิเลสเข้าสิงใจ มันเข้าบังคับใจของบุคคลนั้น เขาจึงทำให้เราไม่ชอบใจ เราให้อภัยไปเลย และคนนี้ทำผิดทำชั่ว พูดผิดพูดชั่ว เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสบังคับ จัดเป็นอภัยทานและก็มีพรหมวิหาร ๔ หนักขึ้น มีเมตตา ความรัก มีกรุณา ความสงสาร มุทิตา จิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา ความวางเฉยกระทบกระทั่งความไม่ชอบใจ วาจาที่สะดุด อันดับแรกเอาเฉยเข้าไปสกัดไว้ก่อน สกัดไว้นาน ๆ เมื่อชินก็จะสลายตัวไปเลย

ฉะนั้นอารมณ์ของพระสกิทาคามีอันดับแรก ความโกรธยังหนักอยู่นิดหนึ่ง ยังมีความสะเทือนใจอยู่บ้าง แต่ก็หายเร็วให้อภัยเร็ว หนักเข้า ๆ พรหมวิหาร ๔ ครอบงำจัด มีความรู้สึกว่าร่างกายไม่ทรงตัวจริง โลกนี้เต็มไปด้วยความยุ่งยากความเดือดร้อน ไม่มีความแน่นอน เราไม่ต้องการอบายภูมิ ไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ต้องการแต่นิพพานอย่างเดียว

อารมณ์อย่างนี้หนาแน่นขึ้น ความโกรธก็ค่อยสลายตัว หนัก ๆ เข้า บางทีเขาว่ามาแรง แต่มีความรู้สึกเบายังไม่สะเทือน บางทีเขาด่าวันนี้ อีก ๓ วันถึงนึกได้ว่าเขาด่า วันก่อนคิดว่าเป็นการพูดเล่นกัน อันนี้เป็นอารมณ์ของพระสกิทาคามี

และพระสกิทาคามีนี้ถ้าละเอียดถึงที่สุดใกล้อนาคามีจะไม่รู้สึกถึงด้านความรักและความโลภ ความโกรธ ความหลง อารมณ์ปกติไม่มีความรู้สึกเลย แต่ว่าความรู้สึกอย่างนี้จะมีขึ้นบางขณะ คือเดือนหนึ่งนาน ๆ ครั้ง เวลาที่จิตสงบสงัด อารมณ์รักจะกระตุ้นขึ้นมานิดหนึ่ง รวมความไม่พอใจอาจจะโผล่ขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็ถูกตีกลับไปเลย นี่เป็นพระสกิทาคามีขั้นละเอียด ขั้นที่จะถึงอนาคามี

มาถึงตอนนี้แสดงว่าเราจำกัดวงขอบเขตของความโกรธได้ และก็สามารถทำลายกำลังของความโกรธให้เกือบไม่มีกำลังเลย พอถึงแค่นี้ก็พอใจ

พอใจของผมก็หมายความว่า เรายังโกรธ ใครถามมาเราก็ยังโกรธ ในเมื่อเราไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใดเรายังโกรธ แต่ก็ตอบเขาว่าฉันยังมีความโกรธ ฉันยังมีความโลภ ฉันยังมีความหลง ฉันยังมีความรัก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ฉันเก็บไว้ในขอบเขตในคอกแคบ ๆ ซึ่งมันดิ้นไม่ได้ถนัดนัก แต่อย่าไปกวนใจมัน ถ้ากวนมันหนัก ๆ เข้ามันแหกคอกมาได้มันยุ่งจัด บอกเขาอย่างนั้น

ก็รวมความกำลังใจของเราจะทำถึงขั้นไหนก็ช่าง อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝัน คิดว่าเวลานี้เราเป็นพระโสดา พระสกิทาคา ก็รวมความพระโสดา สกิทาคา สองอย่างกำจัดแค่กิเลส ๓ อย่างคือ

สักกายทิฏฐิ ความรู้สึกว่าร่างกายมันจะไม่ตายน่ะเลิกคิด คิดว่ามันตายเสีย
วิจิกิจฉา ใช้ปัญญานิดหน่อยพอ

สีลัพพตปรามาส ฆราวาสรักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ภิกษุสามเณร รักษาศีล ๒๒๗ ศีล ๑๐ ให้ครบถ้วน


ก็รวมความว่าการรักษาศีล รักษาชินจนไม่ต้องระวัง มีอารมณ์ชินในสิกขาบทต่าง ๆ ว่ามันเป็นของไม่หนัก เป็นของธรรมดาที่เราทำได้แบบง่าย ๆ แค่นี้ความโกรธมันก็จะค่อย ๆ สลายตัวไป มีกำลังเบา ผมยังจะไม่พูดว่ามันหมดไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถ้าบอกว่าหมด ถ้าชนโกรธขึ้นมา มันจะซวย จะเผลอ

ก็รวมความว่าค่อย ๆ ระงับ ค่อย ๆ กดใจถือว่าเป็นของธรรมดา ถ้าถูกด่าถูกว่าให้คิดว่าเราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า ชาวบ้านเขาว่า ชาวบ้านเขานินทา ก็หมดเรื่อง เป็นอันว่าถ้าเราสามารถแบบไหนทำแบบนั้น

ทีนี้ผมที่บ้ามาแล้วก็บังเอิญจริง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามและข่าวออกไปเขาก็หาว่าผมบ้า เวลานั้นผมจะไปโกรธอะไร ก็คนว่าผมบ้านี่เขาไม่ได้ว่าให้ผมได้ยิน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาว่าให้ผมได้ยิน ผมจะโกรธเขาหรือไม่โกรธไม่แน่ แต่ข่าวที่มานี่พอว่าบ้าปั๊บ ผมก็ยิ้มแล้ว ทำไมจึงยิ้ม ก็เพราะผมก็มีเพื่อนบ้าน่ะซิ ที่ว่ามีเพื่อนบ้าก็เพราะผมบ้าพูด พูดตามความรู้สึกที่คิดว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่ว่ากันถึงตอนยังไม่พบน้ำมัน ที่ว่าผมมีเพื่อนบ้า เพราะข่าวนี้ออกไป คนก็บ้าต่อคือบ้าด่าผมบ้านินทาผมทั้ง ๆ ไอ้วันเดือนปีมันยังไม่ถึง คนประเภทนี้เป็นคนไร้เหตุไร้ผล เพราะว่า ถ้าคนมีเหตุมีผล ถ้าคนดีจริง เขาจะรับฟังไว้เฉย ๆ ยังไม่เชื่อและยังไม่ปฏิเสธ เพราะว่าเวลาที่พูดไปมันมีกำหนดเวลา ว่าต้อง พ.ศ.๒๕๒๔ ฟ้าจะสาง

ความจริงไอ้ฟ้าจะสางก็มีคนมาถามบ่อย ๆ ว่า "เมื่อไรจะสว่าง"

ตอนนี้ขอบ้าต่ออีกนิดหนึ่ง เอาอีกนิดเดียวนะ เฉพาะหน้าคาสเซทหน้านี้ บ้าต่ออีกนิดหนึ่งว่า ต่อไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ พระอาทิตย์จะเริ่มขึ้นจากขอบฟ้า อันนี้ก็เดาเองก็แล้วกัน อย่าลืมนะผมยังไม่ได้พูดถึงเวลาเที่ยง ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้าเมื่อไร ความสว่างขึ้นมากขึ้น คนจะเห็นหน้าเห็นตากันมากขึ้น ไอ้ทรัพย์สินต่าง ๆที่มันอยู่ในแผ่นดินเป็นทรัพยากรก็จะปรากฏหนาแน่นขึ้น คนก็จะเริ่มมีความสุข แต่ความสุขปี พ.ศ.๒๕๓๐ ก็ต้องถือว่าเป็นความสุขอย่างมนุษย์ อย่างคนธรรมดา ไม่ใช่ความสุขอย่างพระอริยเจ้า ความสุขที่อิงอามิสมันไม่มีอะไรสุขจริง จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเชื้อสายของความทุกข์ แต่ว่าเราได้มาเป็นที่พอใจถือว่าเป็นความสุข ทีนี้ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร ผมก็จะไม่พูด ทิ้งไว้แค่นี้ก่อน บ้าไปอีกนิดหนึ่งว่า พระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าต่อเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐


ต่อไปนี้ก็จะบ้าเรื่องอะไรต่อไปอีก รวมความว่าบ้าไว้เท่านั้นดีไหม ? และต่อไปวันหน้าถ้ามีโอกาส ถ้านั่งพูดไม่ไหว แค่นอนพูดก็ไม่เป็นไร

(ที่ฟังไม่ดี ทีแรกเสียงเริ่มใส ๆ ผมพักไปหน่อย มาก็เริ่มเครืออีกแล้ว อย่าลืมว่าช่วงนี้ยังเป็นวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ อยู่ เป็นตอนที่ ๔)

นี่เราพูดกันเรื่องบ้า ๆ และต่อไปเบื้องหน้าจะบ้าเรื่องอะไรดี

วันนี้บังเอิญมีข่าวเขาดูข่าวโทรทัศน์กัน เขาบอกว่า ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตกำลังเจาะหาความร้อนจากใต้ดิน ผมไม่ได้ดูกับเขา เขาบอกเจาะทางเชียงใหม่ ผมก็ดีใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความร้อนจากใต้ดินมีมาก มีมากในประเทศไทย มันจะเจาะได้แหล่งยาวที่สุด และก็มากเป็นแผลใหญ่ในใต้ดินที่ให้ความร้อน ถ้าเรานำขึ้นมาได้ ได้เรื่องกระแสไฟฟ้าสบายมาก โรงงานต่าง ๆ ที่ใช้ไอน้ำก็สบายมาก แต่ว่าต้องยกไปในที่สถานที่ที่แผ่นดินมันแตก มันแยกอยู่ภายในและมีความร้อนสูง เจาะลึกลงไปถึงประโยชน์ใหญ่มาก

ถ้าถามว่าเจาะที่ไหนบ้าง ผมก็ไม่ต้องบ้าเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะทางราชการท่านมีความต้องการแล้ว และการพิสูจน์ความร้อนใต้ดินเป็นของไม่ยาก ความจริงแร่ยูเรเนียมเชื่อว่าเป็นการค้นหาง่ายอยู่แล้ว มีเครื่องวัดเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องตรวจง่าย ๆ แต่ว่าความร้อนใต้ดินยิ่งง่ายกว่าแร่ยูเรเนียมอีก

ฉะนั้นถ้าหากการทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของประเทศไทยเริ่มทำและก็เริ่มมีเครื่องมือ ผมว่าในกาลต่อไป ไม่ช้ากระแสไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องจักร จะไม่ต้องใช้กระแสน้ำ กระแสน้ำก็ยังต้องใช้อยู่ ก็ดี เป็นการเรียกว่าเป็นผลได้จากการลงทุนน้อย ต่อไปถ้าได้ความร้อนจากใต้ดินอีกจะมีประโยชน์ใหญ่

เป็นอันว่าในกาลต่อไป ผมก็คงจะบ้าเรื่องนี้อีกสักนิดหนึ่ง เพราะว่าความร้อนใต้ดินผมทราบได้อย่างไร มันเป็นเหตุเนื่องจากไปอเมริกาไปพักที่ฮาวายและ ดร.ปริญญา นุตาลัย เธอเป็นด็อกเต้อร์ฝ่ายธรณีวิทยา เธอเช่ารถเก๋งพาไปเที่ยวรอบเกาะฮาวาย ก็ปรากฏคุยกันเรื่องนี้ และเมื่อเกิดการสงสัยขึ้นมา เหตุการณ์ก็ปรากฏ

ผมก็มีอะไรอยู่นิดหนึ่งถ้าไม่กระทบผมก็ไม่อยากรู้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมด ถ้าเรื่องใดกระทบเข้าก็อยากรู้เรื่องนั้น กระทบเมื่อไรเมื่อนั้น ไม่กระทบไม่รู้ เพราะอะไร เพราะว่าขี้เกียจรู้ รู้ไปก็แค่นั้น ไม่รู้ก็แค่นั้น รู้ไปผมก็แก่ ไม่รู้ก็แก่ มันใกล้ตาย

สัญญาณบอกเวลาหมดแล้วนี่ครับ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน


สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ตอนที่ ๑๑ ผมบ้า (ต่อ)

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและเพื่อนภิกษุสามเณร วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ถึงแม้ว่าอาการป่วยไข้ไม่สบายจะยังมาก ก็ขอนอนพูด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังไว้เป็นการรักษาอารมณ์ส่วนหนึ่ง


รวมความว่าในตอนนี้ผมก็ยังไม่หมดบ้า มันก็ยังบ้าต่อไป ตอนนั้นก็มาพูดถึงเรื่องน้ำมัน เทวดาท่านบอก ท่านก็ยืนยันว่า

"โลกถ้าใช้น้ำมันอย่างนี้เฉพาะปี พ.ศ.๒๕๑๘ ทั้งโลกใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ น้ำมันก้นประเทศไทยถ้าเจาะลึกถึงที่สุด ถึงทะเลของน้ำมันก็จะใช้ไป ๔,๐๐๐ ปี ยังไม่หมดน้ำมัน และก็น้ำมันจะหมดไปไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์"

และท่านก็บอกต่อไปว่า "ถ้าหากว่าดึงขึ้นมาหมด ประเทศไทยจะยุบเป็นทะเลไปเลย"

ดีมาก ตอนนั้นจะเป็นเมื่อไรก็ช่าง ผมไม่เอาแล้ว ผมก็อยู่ไม่ถึง ผมก็สบายใจ

เมื่อหลังจากคุยกับท่านแล้ว นิสัยของผมมีนิสัยแบบหนึ่ง ท่านพูดให้ฟัง ท่านชี้ให้เห็น แต่ว่าผมฟังคนเดียว ผมเห็นคนเดียว อันนี้ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งต้องหาเหตุให้ได้ในปัจจุบัน ก็ถามท่านว่า

เรื่องน้ำมันที่ท่านบอกมาก็จริง ท่านทำภาพให้เห็นก็จริง ก็เชื่อและ อยากทราบว่าในปัจจุบันนี้มันมีปรากฏอะไรบ้างบนผิวโลก ที่จะให้รู้ว่าน้ำมันมีจริง ๆ ...?" ท่านก็ถามว่า "วันพรุ่งนี้ท่านจะไปชุมพรใช่ไหม?"
ท่านก็ถามผมนะ คำว่าท่านไม่ใช่ผม ก็บอกว่า "ใช่"

ท่านบอกว่า "ถึงจังหวัดชุมพรแล้ว วันที่สามของวันที่อยู่ที่นั่นจะมีคนยืนยันว่ามีน้ำมันอยู่จริง ที่มะริดในเขตที่กะเหรี่ยงอิสระยึดครองอยู่"

ผมก็รับคำท่าน หลังจากนั้นแล้วท่านก็นั่งเป็นเพื่อน ก็มีกลุ่มผู้หญิงสมัยโบราณ ผู้หญิงสมัยนี้เขาจะเป็นคนสมัยไหนผมไม่ทราบ ท่านรู้เรื่องราวต่าง ๆ ว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับเข้ามาสู่ในดินแดนเดิม ทางภาคใต้ก่อนพุทธกาลเท่าไร ทางภาคเหนือก่อนพุทธกาลเท่าไร เป็นระยะก่อนพุทธกาล ๒,๐๐๐ ปีเศษ กับ ๓,๐๐๐ ปีเศษ นี่หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่กลับถิ่นฐานเดิมและก็ผมก็ไม่ได้ถามเธอว่าคนไทยที่ไปอยู่ไกลแสนไกล ไปจากที่นี่หรือถ้าไปมันก็ตายไปหลายชั่วคน แต่ว่าเธอบอกว่าจะกลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานเดิมที่มันมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อนพุทธกาล ๓,๐๐๐ ปีบ้าง หรือก่อนพุทธกาล ๒,๕๐๐๐ ปีเศษบ้าง แต่ว่าคนไทยกลับเข้ามาเวลานั้นก็อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่รวมตัวกัน

ก็รวมความว่า การคุยกันคืนนั้นก็มีทั้งเสียงผู้ชายและผู้หญิง เดิมทีเดียวมีเสียงผู้ชายกับผู้ชาย คือผมกับเทวดา ต่อระยะที่สองก็มีเสียงผู้หญิงกับผู้ชาย คือผมกับพวกนางฟ้า คุยกันไปเข้าใจว่าเสียงผมไม่ดัง แต่ว่าตอนเช้าตื่นออกไป ท่านเจ้ากรมเสริม ท่านคิดว่าพันจ่าคนที่รักษาสถานที่อยู่ ไปตอนเย็นเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน เธอบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นพี่สาวของเธอ การคุยกันคืนนั้นมันจะใกล้สว่างนะครับ คือตั้งแต่ ๕ ทุ่มเศษไปก็ใกล้สว่าง เมื่อใกล้สว่างทั้งหมดท่านก็ลากลับ เป็นอันว่าคืนนั้นทั้งคืนผมก็ไม่ได้นอนหลับ แต่ว่าการที่ไม่ได้นอนหลับ การคุยกับเทวดานี่ไม่เพลีย


ท่านเจ้ากรมเสริมท่านก็บ่น คิดว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน "ไอ้เจ้านี่มันเอาผู้หญิงมานอนด้วย มันคุยกันคืนยันรุ่ง ผมรำคาญไม่หลับเลย"

แต่ความจริงเป็นเรื่องผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านเป็น ท่านเป็นคนที่มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตอยู่ในอารมณ์สงบอยู่เสมอ ไอ้การจะเอะอะตึงตังโครมครามให้ท่านไม่หลับนะ ไม่เคยปรากฏการณ์ ท่านหลับง่าย คนหลับง่ายนี่หมายความว่าเวลาที่จะหลับจริง ๆ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็ไม่หลับ แต่คืนนั้นท่านบอกว่าพันจ่าเอกคนนั้นคุยกับผู้หญิงจนกระทั่งท่านนอนไม่หลับ มันไม่ใช่แล้ว ผิดปกติ และคนชั้นพันจ่ากับคนชั้นนายพล ถ้านายพลไปนอนอย่างนั้น พันจ่าจะคุยให้ท่านนายพลรำคาญ มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุผลไม่พอ แล้วเธอก็นอนในห้องแถวข้างล่างซึ่งไกลออกไป ถ้าคุยแบบนั้นจะต้องตะโกนกันเต็มเสียงจึงจะได้ยินขึ้นมา

ทีนี้มันมีเรื่องอยู่ว่า ผมก็คิดว่าท่านคงได้ยินเสียงผมกับนางฟ้าคุยกันและเสียงมันรอดมาได้อย่างไร ผมว่าผมพูดเบาที่สุด

เพื่อเป็นการเปลื้องความสงสัยก็เลยเรียกพันจ่าคนนั้นขึ้นมา ก็ถามว่า "พ่อคุณ ต้มน้ำร้อนเดือดหรือยัง...?"
เธอก็รายงานบอกว่า "กำลังต้มครับ ยังไม่เดือด"

ก็เลยบอกเธอว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องรีบนะ ต้มตามสบายเดือดเมื่อไรเอาขึ้นมาเมื่อนั้น"

แต่ความจริงผมเป็นคนไม่ติดน้ำร้อน ตามปกติแล้วผมชอบน้ำเย็น แต่ว่าถ้าน้ำเย็นที่สุกแล้วก็จะชอบมาก มันปราศจากโรค เรื่องน้ำชานี่ผมไม่ฉันเลย ท่านจะเห็นว่าผมไม่ฉันน้ำชากับใครเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อบวชใหม่ ๆ ผมก็ชอบน้ำชากับเขาเหมือนกัน ต่อมาเป็นนักเทศน์ ไปไหนก็ต้องหิ้วกระติกน้ำชาไปด้วย ก็เลยมาคิดในใจว่า เราจะมาเทศน์ให้ญาติโยมเปลื้องจากกิเลส แต่เราเองต้องหิ้วกิเลสไปด้วย เลยตัดสินใจวันนั้นว่าเลิกกันเสียที น้ำชาหรือไม่ชา ชาวบ้านเขาไม่กินน้ำชา เขาก็ไม่ตาย ไอ้เราไม่กินน้ำชามันจะตายก็ให้มันรู้ไป เลิกเด็ดขาด เลิก ไม่กินมันเลย ใครเขาเลี้ยงที่ไหนก็ไม่ยอมกิน ก็รวมความว่ากินแต่น้ำเย็นธรรมดา ๆ เมื่อเรียกเธอขึ้นมาแล้ว เธอกลับไปก็เลยถามท่านเจ้ากรมว่า

ผู้ชายที่เสียงเมื่อคืนนี้ เสียงเหมือนคนนี้ไหม?"

ท่านก็บอก "ไม่เหมือน เมื่อคืนนี้มันเสียงใหญ่ครับ ไอ้เจ้านี่มันเสียงเล็กครับ"

ก็เลยบอกให้ท่านทราบว่าความจริงเมื่อคืนนี้อาตมาคุยกับเทวดาองค์หนึ่ง ท่านมาคุยให้ฟังเรื่องน้ำมัน เทวดาองค์นั้นท่านเสียงใหญ่ และก็ต่อมาก็มาคุยกับผู้หญิง พวกผู้หญิงน่ะก็เป็นนางฟ้า เสียงเล็ก เสียงฟังเพราะ ๆ ถามท่านเป็นยังงั้นใช่ไหม ท่าก็บอกว่าใช่ (ก็ต้องขออภัย วันนี้มันจะไอ เกิดไอขัดคอมาเสียแล้ว) ก็เลยเล่าความเป็นมาให้ท่านฟัง เรื่องการสงสัยพันจ่าคนนั้นคุยกับผู้หญิงก็ยุติไป

และต่อมาผมก็เดินทางไป จังหวัดชุมพร สองวันแรกไม่ได้นึกถึงเรื่องน้ำมันเลย ลืมจริง ๆ ด้วยอำนาจเทวานุภาพ ท่านมีอำนาจกว่าเราจริง ๆ ทีนี้ใครว่าเทวดาไม่มีนี่เป็นเรื่องของท่าน แต่ผมกล้ายืนยันว่าเทวดามีแน่ ผมก็ชนทั้งเทวดาและนางฟ้าก็รวมความถึงวันที่สาม วันนั้นคนก็มาก ความจริงคนมากตามปกติ หมู่บ้านนั้นมีคนไม่มากนัก มีไม่กี่หลัง เป็นบ้านเล็ก ๆ ในเมื่อเธอมีศรัทธา ผมก็ไปเยี่ยมเธอทุกปี ปีพ.ศ.๒๕๒๗ ผมเว้นมา ๓ ปีแล้ว ไปไม่ไหว โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก ผมก็แก่ลงไปมาก ไปไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยต้องระงับ ถ้าไปแล้วจะทำหมอเป็นทุกข์ขึ้นมาก เพราะหมอต้องรักษาให้ผม และไอ้ผมเองก็กระโดกกระเดก ๆ ไม่ค่อยหยุด หมอก็คงจะรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ไอ้รักษาคนป่วยประเภทไม่หยุดนี่ หมอรักษายาก ผมก็รู้ตัวมันก็หยุดไม่ไหว
และวันที่สาม ฉันเช้าแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ถาม "เออ คนที่นั่งที่นี่ทั้งหมด ใครเคยไปมะริดบ้าง?"

มะริดเป็นประเทศมอญเก่า เวลานี้เป็นของพม่าก็มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งเธอมาอยู่นานจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอบอกว่าเธอไปทุกปี ถามว่า "ไปทำไม?" เธอก็บอก "ไปซื้อควายมาขาย"
ควายที่มะริดถูก แต่มาขายในประเทศไทยมันก็แพงหน่อยเป็นของธรรมดา เขาต้องเดินป่าตั้งหลายวัน

ถามว่า "ไปที่นั่นเคยได้ยินข่าวไหม ว่าหนองน้ำหนองหนึ่ง (ที่เทวดาท่านบอกเมื่อวานนี้ผมไม่ได้บอกละเอียด) เวลานี้แทนที่จะมีน้ำ มันเป็นน้ำมันทั้งหมดขึ้นมาเต็มหนอง เป็นหนองใหญ่ มีไหม?" เธอก็บอก "มีครับ" ถามว่า "มีอยู่ที่ไหนห่างจากเขตประเทศไทยเท่าไร?"
เธอก็บอกว่า "ห่างจากเขตประเทศไทยไปเดินเท่าไรก็ไม่ทราบผมกะว่าประมาณสัก ๓๐ กิโลเมตร แต่ว่าการไปลำบาก"

ก็อยากจะไปดู เธอบอก "ไปได้ครับ"

บอก "ไปอย่างไร พม่ามันเชือดคอฉันตาย"


เธอก็บอกว่า "พม่าไม่เชือด เพราะที่นั่นเป็นที่กะเหรี่ยงอิสระอยู่ กะเหรี่ยงอิสระคุมและก็ตั้งฐานอยู่ล้อมรอบเขตบ่อน้ำมัน เป็นหนองน้ำมันและก็ตักน้ำมันขึ้นมาใช้เติมตะเกียง"

โอ้โฮ! เขาแน่นอนจริง ๆ ก็รวมความว่าที่เทวดาท่านบอกก็เป็นความจริง นี่จริงจุดหนึ่งผมก็ต้องพิสูจน์แบบนี้ เป็นลักษณะของผม

และในปีนั้นก็เป็นโอกาสไป จังหวัดภูเก็ต คือ พันเอกแพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ บ้านอยู่ภูเก็ต และที่ตรงนั้นอาจจะเป็นบ้านที่ปลูกใหม่ของเธอ เธอก็ชวนไปเยี่ยมจังหวัดภูเก็ต พอไปถึงจังหวัดภูเก็ตบ้านอยู่ชายทะเล สบายมาก ไปกันเยอะ ตอนกลางวันวันหนึ่ง ผมก็เอาเก้าอี้ผ้าใบตัวหนึ่งไปนอนอยู่โคนต้นมะพร้าวชายทะเล ความจริงก็อยู่ในบริเวณบ้านนั้น เป็นความสุขมาก อากาศดีมาก เจ้าของบ้านก็ดี แต่การไปแบบนี้ผมก็สงสารเจ้าของบ้าน ไปด้วยกันมาก แต่ภารกิจของเจ้าของบ้านต้องรับเลี้ยงเราทุกอย่าง ต้องมีความลำบากทุกอย่าง อยากจะไปอีกก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ความจริงการไปนี่มีประโยชน์มาก ไปนอนอยู่ก็มีความรู้สึกว่าในเขตจังหวัดภูเก็ตมันมีของที่มีค่าสูงมาก แต่ว่าวันนี้ก็ไม่ได้คำนึงว่าจะมีอะไรมากนัก หลังจากนั้นเขาก็พาไปเที่ยว ไปที่ไหนทิศไหนผมจะไม่พรรณนา ก็รวมความว่าไปเที่ยวกันรอบเกาะภูเก็ตไปทุกจุดที่มันมีความสำคัญ

ตอนเย็นกลับมาวันหนึ่ง ยังไม่ทันจะใกล้ค่ำทุกคนก็แวะรับประทานอาหารที่ร้านค้า ร้านค้าเขามีเป็นสองจุด เจ้าของเดียวกัน ข้างในมีแอร์และก็มีห้องกระจก หมายความว่ามีหน้าต่างกระจก อีกหลังหนึ่งเขามุงจากเป็นอาคารยาว เอาไว้เลี้ยงพิเศษ เขาก็ไปรับประทานอาหารกันหมด ผมก็อยู่ข้างนอก ผมก็เดินไอ้ที่เขาเรียกว่า เดินจงกรม (จงกรม แปลว่า เดิน) ก็เดินไปเดินมาตามแบบฉบับของผม ทำให้จิตเป็นสุข กว่าจะรับประทานอาหารกันเสร็จก็นาน

ขณะที่เดินอยู่คนเดียวก็ปรากฏว่ามีเพื่อนมาร่วมการเดิน แต่ไม่ใช่เดินกองการกุศลแบบเดี๋ยวนี้นะ เดินจิตเป็นกุศลแต่ไม่ได้เดินบำเพ็ญกุศลแบบเอาสตางค์ไปจ่าย ก็คนเดียวไม่รู้จะจ่ายให้ใคร ไม่มีสตางค์จะจ่ายด้วย ก็มีคนมาช่วยเดิน รูปร่างหน้าตาสวย มองไปทีแรกก็ทราบว่าคนนี้เป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราช ก็คิดในใจว่าเราพบสหายเก่าเข้าแล้ว หลังจากนั้นก็คุยกัน ก็ถามว่า

"ไอ้เกาะภูเก็ตนี่เดิมทีมันชื่ออะไร?"
ท่านบอก "เดิมทีเขาเรียก บูกิ๊ต"

ถามว่า "บูกิ๊ตมันหมายความว่าอะไร?"
ท่านบอกว่า "บูกิ๊ตหมายความว่า ภูเขา คือเป็นเกาะที่มีภูเขามาก"

และถามท่านว่า "หลังจากนั้นเขาเรียกว่าอะไรอีก?"
ท่านก็เลยบอกว่า "เรียกว่า ปาฏลีบุตร"

ก็ถามว่า "ทำไมชื่อเหมือนแขก ไอ้ปาฏลีบุตรนั่นมันชื่อของชาวอินเดีย"
ท่านก็บอกว่า "แขกชาวเมืองปาฏลีบุตรมาขึ้นที่นี่ มาเรือและมาขึ้นที่นี่ มาพักอยู่มาก ต่อมาก็กระจัดกระจายไปนครศรีธรรมราช และขึ้นไปเหนือบ้าง ใต้บ้าง ใช้นามว่าเมืองปาฏลีบุตรสมัยโน้น และต่อมา ๆ คนไทยจึงเรียกชื่อว่า ภูเก็ต"

เดินไปเดินมาก็ถามท่านว่า "ในทะเลภูเก็ต เมื่อตอนกลางวัน มันสงสัยนอนอยู่ที่โคนต้นมะพร้าว และก็มีความรู้สึกว่ามันมีแร่ธาตุที่มีความสำคัญ มันมีจริงไหม?" ท่านบอกว่า "ความรู้สึกของท่านถูก มันมีจริง แร่นี่ท่านบอกว่ามีอานุภาพสูงกว่าแร่ยูเรเนียม คืออานุภาพมันสูงกว่ามาก ถ้าใช้เป็นอาวุธรบก็มีความสำคัญกว่า"
"รวมความว่ารังสีแรงกว่ายูเรเนียมเยอะก็แล้วกัน"

และท่านบอก "แร่จำนวนนี้มันมีมาก มันตั้งศูนย์อยู่ตรงนี้"

ท่านก็ชี้ที่แผ่นดินที่บริษัทเขาขุดแร่กันอยู่ บริเวณปลายศูนย์ข้างนอก หาง ๆ มันทางสายมันอยู่ตรงนี้ และถ้าทำการขุดเรื่อย ๆ ไปมันจะเข้าไปในภูเขาพอจวนจะเขตเขามันเริ่มเข้าถึงแท่งใหญ่ ถ้าลึกเข้าไปจะพบแท่งโตแท่งใหญ่มีปริมาณสูงมาก และท่านก็คุยต่อไปว่า

"แร่ประเภทนี้ถ้าเวลามันหมดสภาพ มันตายแล้วมันจะมีสภาพเป็นเพชร จะเป็นเครื่องประดับผู้หญิง ก็หมายถึงเป็นเพชรนั่นเอง และเป็นของมีค่าสูง" ก็รับฟังท่าน

เมื่อคุยกับท่านก็ถามต่อไป "นอกจากจะเป็นแร่ที่มีความสำคัญมากนี่และมีอะไรอีกบ้างไหม?"

ท่านบอกว่า "ก็มีอยู่เยอะมันก็มีทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะ" ท่านอธิบายให้ฟัง การอธิบายพร้อมกับเห็นภาพเสร็จ ก็รับฟังท่าน ทานพูดต่อไปว่า

"เจ้าแร่ประเภทนี้มันต่างกับแร่ยูเรเนียมอยู่อย่างหนึ่ง แร่ยูเนียมถ้าใช้ในทางสันติ คือเอารักษาโรค มันจะมีความร้อนสูงจึงเอามาเผาโรคมะเร็งกัน แต่ว่าถ้าแร่ประเภทนี้เอามาใช้ในทางสันติ คือในทางการแพทย์ มันจะมีความเย็นแทนที่มันจะร้อน มันจะกลายเป็นความเย็นไป ก็สามารถรักษาโรคได้เหมือนกัน" ก็รับฟังของท่านไว้อย่างนั้น

ต่อมาเมื่อกลับมาถึงที่พักก็มีโอกาสได้นอนเล่นคนเดียว เวลานอนเขาให้นอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับใคร ใช้ใจสบาย ๆ ก็มีความรู้สึกเห็นแร่อีกประเภทหนึ่งมันอยู่ลึกปนกับแร่ดีบุก แต่แร่ดีบุกน่ะมันเป็นผิว เจ้าแร่ประเภทนี้มันลึก เวลานี้การดูดของบรรดาคนทั้งหลายที่ดูดแร่ ไอ้ตะกอนผิว ๆ ของมันมีดินขึ้นมาแล้ว แล้วตะกอนที่ติดมาเป็นของมีค่าสูงมาก แข็ง ใช้เป็นจรวดเสียดสีกับอากาศทนการเสียดสีได้ดีมาก และเป็นของที่มีราคาสูง แต่คนไทยไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือคนไทยยังไม่รู้จัก

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้มีโอกาสไปที่โรงถลุงแร่ ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน คุยไปคุยมากับผู้จัดการใหญ่ ท่านก็เล่าพฤติการณ์ให้ฟัง
ถามท่านว่า "นอกจากดีบุก มีอะไรไหม?"

ท่านบอก "มันมีอย่างหนึ่ง คือสกัดออกไปแล้วมันไม่หมด ดีบุกก็ไม่หมด มันก็ไม่ใช่ดีบุกแท้ เป็นตะกั่วอ่อน ๆ ไม่เป็นตะกั่วแท้ จะทำตะกั่วหลอม ตะกั่วอะไรมันก็ไม่ได้ทั้งนั้น มันเกาะกับดีบุก ก็ไม่หมด ฉะนั้นจะต้องไปซื้อแร่ดีบุกจากจังหวัดจันทบุรี เอามาผสมแล้วก็สกัดถลุงแล้วเป็นตะกั่วเชื่อม เป็นตะกั่วบัดกรี" ท่านเล่าให้ฟัง

เมื่อถามไปถามมาแร่ประเภทนี้มีมากไหม ท่านบอกว่า "มีมาก" ก็ถามว่า "เมื่อก่อนนี้ฝรั่งเขาไม่ต้องการ เดี๋ยวนี้ต้องการแล้วใช่ไหม?"
ท่านก็บอกว่า "ใช่ และเวลานี้ปรากฏว่าถ้าเหลือเท่าไร ถ้าสกัดไม่หมด ถลุงไม่หมด ติดแบบนั้นฝรั่งเขาเอาไปต่างประเทศหมด"

ก็พอดีมีรองผู้จัดการใหญ่ ท่านเป็นอดีตนายทหารเรือ ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์หลวงพ่อทางนี้เถอะครับ ชมข้างในเถอะ" ความจริงท่านจะเล่าอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง อยู่มากด้วยกันท่านไม่กล้าพูด พอเข้าไปแล้วท่านก็บอกว่า

"เราก็ได้แต่ดีบุกเท่านั้นแหละครับ สิ่งที่มีความสำคัญจริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อว่าเราไม่มีโอกาส เพราะเครื่องมือเราไม่มี เราทำไม่ได้เลย เขาเอาไปหมด และปรากฏว่าแร่ประเภทนี้เมื่อก่อนเหลือมากจริง ๆ ไม่มีที่จะกอง ทางโรงถลุงแร่ต้องเอาไปให้ชาวบ้าน เอาไปไหนก็เอาไปเถอะ ชาวบ้านก็เอาไปถมที่ให้มันขึ้น และทราบในกาลต่อมาว่า เมื่อฝรั่งต้องการมาก ๆ ชาวบ้านก็เลยขุดที่ คือขุดแร่นั่นแหละขายฝรั่งต่อไปอีก"

รวมความได้ทราบเป็นพิเศษและต่อมาเมื่อกลับมาพักผ่อน เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเจอะเทวดาองค์นั้นอีก เทวดาองค์นั้นท่านเล่าให้ฟังว่า

"ถ้าอยากจะทราบว่าที่ไหนมียูเรเนียม สำหรับยูเรเนียมนะถ้ามันตายแล้ว มันจะกลายเป็นตะกั่ว ถ้ามันตายไปเร็ว ๆ ตะกั่วนั้นจะใช้เป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบไม่ได้ ถ้ามันตายไปนานแสนนานเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปีนี้ มันจะกลายเป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบ

ก็เลยถามท่าน "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศไทยมันก็มีน่ะซิ?" ท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศทไยมันก็มีน่ะซิ?" ท่านก็บอกว่า "ก็มี ที่ไหนมีแร่ตะกั่ว ที่นั่นเคยมียูเรเนียม และท่านก็ย้อนมาว่า "ท่านเองเคยไปพิสูจน์ค้นพบแล้วใช่ไหม?"
บอก "พบน่ะ มันไม่ไว้ใจตัวเอง"


ท่านก็เลยบอกว่า "ไอ้เรื่องสงสัยน่ะโยน ๆ ทิ้งไว้ซะบ้างสิ เชื่ออารมณ์ จริง ๆ ซะมั่ง" ท่านก็เลยสอนต่อไป


ก็รวมความว่าเลยได้รับความรู้ทั้งยูเรเนียมและก็แร่พิเศษ ไอ้แร่แข็ง ๆ ประเภทนั้นก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร มันอยู่ใต้ระดับดีบุกลงไป แต่ว่าจะอยู่ที่ไหนบ้างผมก็ไม่มีอำนาจบอก เดี๋ยวใครจะหาว่าชี้ให้ขุดอีก แต่ความจริงผมไม่เคยชี้ให้ใครขุด

หลังจากนั้นมา ก็อีกวันหนึ่งก็ไปเที่ยว จะไปที่ปลายเกาะไปดูพระอาทิตย์ตกก็ไปเจอะพวกเจ้าหน้าที่เจาะน้ำมัน เขาเจาะน้ำมันในอ่าวไทย เขาเจาะมาก่อน เวลานั้นเจาะในมหาสมุทรอินเดีย แต่ว่าเป็นทะเลเศรษฐกิจของไทย ก็ไกลออกไปแค่ ๙๐ ไมล์ ทะเลเศรษฐกิจมัน ๑๒๐ ไมล์ คือห่างจากฝั่งไป ๑๒๐ ไมล์ ของเราถ้าเกินไปกว่านั้นถือว่าเป็นทะเลหลวง

เขาก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลานี้ผมเจาะน้ำมันที่มหาสมุทรอินเดียในทะเลเศรษฐกิจอยากจะทราบว่าน้ำมันจะมีไหม?" พอเขาถาม ผมก็เลยถามเขาบ้างว่า "เฉพาะบริษัทของคุณ (อันนี้อย่าถามนะครับ บริษัทไหนผมไม่บอกหรอก) เฉพาะบริษัทของคุณที่เจาะพบแล้ว สำรวจพบแล้วในทะเลในอ่าวไทย คุณพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดใช่ไหม?ฤ เขาบอก "ไม่พบครับ" ก็เลยตอบเขาว่า "ถ้าในอ่าวไทยคุณไม่พบ ในมหาสมุทรอินเดียคุณก็ต้องไม่พบ" เขาถาม "เป็นเพราะอะไร?"
ก็บอกว่า "เพราะคุณพูดไม่ตรงตามความเป็นจริง"

พอพูดเท่านี้ก็ปรากฏว่ามีวิทยุติดต่อเรียกเข้ามาก็เลยให้ลูกน้อง ๒ คนวิ่งไปรับวิทยุ เดิมทีเดียวเขาอยู่ด้วยกัน ๓ คน ต่อมาเมื่อลูกน้องไม่อยู่ก็ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ในอ่าวไทยนี่เขาพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดจริง ๆ และเป็นจุดที่น้ำมันเป็นปริมาณมาก แก๊สตอนนี้เราไม่พูดกัน เพราะแก๊สเป็นของอดิเรก ในเมื่อที่ไหนมีน้ำมัน ที่นั่นก็มีแก๊ส ถ้าเจาะไปไม่ลึกพอที่พบแก๊สก่อน เจาะไปลึกมากก็พบน้ำมันเพราะแก๊สนี่เป็นไอระเหยของน้ำมัน ความร้อนมันสูงภายในมันเผา น้ำมันก็ระเหย มันก็พ่นเข้ามาติดอยู่ เรียกว่าฝาข้างบนก็แล้วกัน ก็เป็นแก๊ส อันนี้เป็นปริมาณมาก และน้ำมันในประเทศไทยจะมีความใสมากกว่าของต่างประเทศ

ก็รวมความว่าเป็นอันว่าได้เรื่องได้ราว เรื่องน้ำมัน ก็เกิดความดีใจ สบายใจว่าสิ่งที่เราถวายพระพรไปกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมันไม่ผิดแน่ ของจริงยังมีอยู่ และสำหรับแก๊สเหลวในกาลต่อมา ผมก็ติดต่อกับคนอีกพวกหนึ่ง ผมจะไม่บอกว่าพวกไหน เพราะว่าถ้าได้แก๊สเหลวหรือน้ำมันที่ผสมกับแก๊ส ว่าฉันมีความรู้สึกว่ามันใสจัด มีความเบาสูง ใสมากเป็นไอระเหย อยากจะทราบว่าความรู้สึกของฉันถูกไหม ถ้าได้เมื่อไรขอให้ส่งมาให้ดูด้วย แล้วคนกลุ่มนั้น (ผมไม่ได้หมายถึงคนกลุ่มเมื่อกี้) ต่อมาเขาก็ส่งมาให้ดู มันตรงกับความเป็นจริงที่มีความรู้สึก และต่อมาได้ไปดูที่มาบตาพุด ที่จังหวัดระยองหรือชลบุรี ที่นี่ก็ปรากฏว่าเป็นจุดตรงกัน

เอาละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทุกท่าน สัญญาณบอกเวลาเตือนวาระที่สอง ก็ขอลาก่อน เอาไว้คุยกันใหม่ในตอนต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก