วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๒ ผมเลวมาก(ต่อ)

ท่านศาสนิกชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟัง สำหรับวันนี้เป็นวาระที่สองที่ผมพูดกับท่านทั้งหลาย ในเรื่องของ มโนมยิทธิ ความจริงผมก็จำวันที่ไม่ได้นะ เทปก่อนผมก็ว่าส่งเดชไปเท่านั้นเอง จำไม่ได้ วันนี้มันป่วยจริง ๆ เรื่องวันที่ก็ขอยกไว้ก่อน เดือนกรกฎาคม (เดี๋ยวขอเปิดดูหน่อยว่าเดือนกรกฎาคมนี่วันที่เท่าไร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๘ เอาละเป็นวันที่ ๑๗ กรกฎาคมแน่) ดังนั้นเทปก่อนพูดวันที่คงไม่ผิด เพราะเป็นวันที่ ๑๗ จริง ๆ เดา ๆ เอานะ วันนี้ป่วยมาก ตอนเช้าลุกไม่ค่อยขึ้น มี พระมหาวิจิตรเจ้าคุณศรีวิสุทธิพงศ์ เจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี เจ้าคุณวิมล และมหาทองดำ (สำหรับมหาทองดำนี่ชื่อท่านดีแต่ผมจำไม่ได้ เคยเรียกแต่ "เณรดำ ๆ" เมื่อเป็นมหาเปรียญก็เรียก "ดำ" เรื่อย ๆ) ทั้งหมดนี่ท่านมาหา และมีแขกมา มีญาติโยมมาจากนครปฐมสามพราน มาคันรถหนึ่งก็ลงรับไม่ได้ นี่ป่วยมาก ท่านจะเสียกำลังใจหรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่ผมก็บอกท่านว่าผมป่วย เพราะเดินงง ลงไปรับแขกไม่ไหว

นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททราบไว้ด้วย ว่านี่ท่านมากันตามเวลารับแขกก็จริง ผมยังลงไม่ได้ หากว่ามานอกเหนือเวลาไม่รับก็อย่าหาว่าหยิ่งเลยนะขอให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ผมนี่แก่แล้ว และเวลาพักผ่อนผมก็ไม่มี เช้าก็เครียด กลางวันก็ต้องรับแขกถึง ๔ โมงเย็น ไม่มีใครเขาพูดด้วยก็ต้องพูดคนเดียว ไอ้พูดคนเดียวนี่มันเหนื่อยเหลือเกิน แต่ว่าเพื่อธรรมะผมพูด แต่หากว่ามาหาหมอดูละก็เจ๊งละ ผมไม่เอาด้วย หาหมอดู หมอรักษาโรค ผมเองก็ยังต้องให้น้ำเกลืออยู่เสมอ แพทย์ต้องให้น้ำเกลือแล้วผมจะไปรักษาโรคกับใครเขาหายล่ะ

รวมความว่า วันนี้ก็มาดูความเลวของผมอีก เลวเบื้องต้นยังไม่พูดกันนะในตอนต้นก่อนที่จะเรียนกับ อาจารย์สุข ท่านอาจารย์สุขก็มา อย่าลืมว่า เมื่อวานนี้พูดกันถึงว่า คนเขาทำบาป คือกินเหล้าและไม่ได้สมาทานศีล อยู่ ๆ เขาก็ทำกัน ไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ ท่านเห็นความเลว ความเป็นพระของผมไหม มันเลวจริง ๆ ผมเป็นพระไม่สามารถจะทำได้นี่ ผมเลวมาก ความจริงเรื่องส่วนตัวคือผมทำได้ แต่ว่าผมให้คนอื่นเขาไม่ได้ แนะนำญาติโยม ญาติโยมก็ไม่เข้าใจ อันนี้ไม่ใช่โยมเลว ผมเลว เพราะไม่สามารถจะแนะนำโยมได้ ผมรู้สึกว่า ผมเสียศักดิ์ศรี หรือทำผ้ากาสาวพัสตร์เสียศักดิ์ศรีมาก

ต่อมาผมก็เริ่มจะเรียน ก็พอดีเหลือบไปเห็นคนทอดแหอยู่ ๒ คนเป็นชายหนุ่มและมีภรรยาถือท้ายเรือ ก็เลยเรียกสองคนเข้ามา พอเธอเข้ามาแล้วก็บอกว่า

"กรุณาอาบน้ำอาบท่าเสีย" ถามเธอว่า "วันหนึ่ง ๆ ทอดแหได้เท่าไหร่" เวลานั้นค่าของเงินสูง

เธอบอกว่า "ถ้าได้มากก็ถึง ๒๐ บาท บางวันก็ขายได้ประมาณ ๑๐ บาท เลี้ยงตัวได้"

แต่ทว่าเวลานั้น ข้าวสารถังหนึ่งก็เห็นจะไม่เต็มบาทดี ๙๐ สตางค์ และเป็นค่ากับข้าว รู้สึกว่าเธอมีรายได้ดี

บอกว่า "ถ้ายังงั้นละก็รายได้เธอได้เท่าไรก็ช่างเถอะ ๒๐ บาทฉันจ่ายให้ ขอพิสูจน์ผลความดีกันสักหน่อยได้ไหม ?"

เธอถามว่า "พิสูจน์อะไร" ก็บอกว่า "อาจารย์สุขจะสอนให้คนไปสวรรค์ไปนรกได้ เธออยากจะเห็นไหม ?"

รู้สึกว่าเธอดีใจ สำหรับการหากินต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตน่ะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร อย่าตำหนิกัน เขามีความจำเป็น คนเขาต้องการดีเหมือนกัน แต่ว่าเขาจะดีจริง ๆ และไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตละก็เขาไม่มีจะกิน เขาก็มีความจำเป็น อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ นายจุนท์ ที่ฆ่าหมูตั้งเยอะเลี้ยงพระสงฆ์ในวันปรินิพพาน และถวายพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้ากลับยกย่องสรรเสริญทานของนายจุนท์ว่ามีผลเลิศ และก็มีคนมากมายที่เข้าหาพระพุทธเจ้า มาเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบ้าง เป็นอรหันต์บ้าง ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ทำบาปมาก่อน ไม่ใช่คนไม่มีบาป อย่างท่านองคุลีมาลท่านฆ่าคนเย้ง ๆ อยู่ แต่องค์สมเด็จพระบรมครูก็ไม่ทรงรังเกียจ สงเคราะห์องคุลีมาลจนเป็นพระอรหันต์ และก็เป็นได้ไม่นาน

เพราะอย่างนั้นเรื่องอาชีพอย่าตำหนิกัน ทุกคนต้องการดี แต่ว่าการเลี้ยงตัวมันไม่ดี ไม่มีทางอื่น ต้องทำอย่างนั้น หากว่าเขามีทางอื่นทำเขาจะทำ เว้นไว้แต่ว่าคนที่แนะนำแล้วไม่เห็นด้วยเพราะกรรมที่เป็นอกุศลให้ผลหนัก อันนี้ก็ต้องเห็นใจเขาเหมือนกัน

จงคิดถึงตัวเราบางครั้งไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ เราก็ฆ่า บางคราวไม่มีความจำเป็นจะหยิบของคนอื่นเราก็หยิบ บางคราวเราก็เจ้าชู้ ลืมนึกถึงศีลธรรมหรือความดี และประเพณีนิยม บางคราวอยู่ดี ๆ เราก็พูดปดมดเท็จหรือโกหกเพื่อนก็ยังได้ บางครั้งนึกสนุกขึ้นมาถือประเพณีเป็นสำคัญ จะทำบุญบ้านหรือเจอหน้าเพื่อนเราก็เลี้ยงเหล้า อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่จะพูดว่าใครก็ดูตัวเราเสียก่อน เราก็ยังดีไม่พอ

อย่างผมนี่ก็เหมือนกัน เป็นฆราวาสนี่ผมเลวมาก ผมดื่มสุรายาเมาไม่เป็น ไม่เป็นจริง ๆ ผมไม่สูบบุหรี่ ผมไม่ลักขโมยใคร แต่ด้านความรักนี่ต้องคิดนะ ผมก็ต้องเข้ากับตัวเองในเวลานั้น ผมไม่ได้ไปปล้ำใคร ไม่ข่มขืนใคร ก็มีคนเขาตกลงด้วยนี่ เขาตกลงปลงใจมอบกายถวายตัว ผมก็ต้องยอมรับ ผมเป็นผู้ชายต้องมีความปราณี ลูกผู้ชายถ้าขาดพรหมวิหาร ๔ ขาดเมตตา ความรัก ขาดกรุณา ความสงสาร ไม่เกื้อกูลสงเคราะห์เพศหญิงที่เป็นเพศอ่อนแอ ก็รวมความว่าไม่หน้าด้านเท่าผู้ชาย ความรักที่เกิดในใจเธอก็จะเศร้าหมอง นี่พูดอย่างคนพาลสมัยโน้นนะ ผมก็เอา ตกลง รักก็รัก ไม่รักก็เฉย ๆ ถ้ารักก็ต้องร่วมรัก ต้องสนองความรักให้สมบูรณ์แบบ ถ้ารักเฉย ๆ ก็แค่นั้นแหละ ไม่สมบูรณ์ ปฏิบัติตนไม่ครบถ้วน ข้อนี้ผมยอมรับว่าผมเลว

แล้วมาอีกทีหนึ่งก็การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันนี้ผมจำได้ตั้งแต่เกิดมาผมถูกบังคับให้ฆ่าปลาประมาณ ๖ ตัว แต่ว่าถ้าเป็นโจรผู้ร้ายนี่ผมเอาอีก นี่มันก็เลวเหมือนกัน ชีวิตเขาเขาก็รัก รวมความว่าความเลวของผมมีมาก

ฉะนั้นคนใดที่เขาเลวผมก็คำนึงเรื่องนี้ก่อน เขาจะเลวขนาดไหนก็ตาม เราก็เคยเลวมาอย่างเขาเหมือนกัน บางอย่างที่เราไม่เลวอย่างเขา แต่เราอย่างพึ่งเข้าใจว่าเราดี เราก็ยังมีความเลว

รวมความว่า เกิดมานี่เราเลว ผมมาบวชเป็นพระผมก็เลวอีก เลวมาก ๆ ที่กินของญาติโยม ญาติโยมเลี้ยงทุกสิ่งทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้ว แต่ผมไม่สามารถจะสนองความดีโดยให้ญาติโยมรู้จักเห็นสวรรค์ นรก จริง ๆ ได้ นี่เลวจริง ๆ เพราะความเลวของผมจึงต้องกระเสือกกระสนใช้เวลานานถึง ๒๓ ปี เพื่อจะหาทางสนองความดีของญาติโยมพุทธบริษัท


คราวนี้มาเรื่องสอนคนทอดแห เธอพร้อมยอมรับที่เราจะจ่ายให้คนละ ๒๐ บาท ก็เป็น ๔๐ บาท มีคนที่นั่งในที่นั้นประมาณ ๒๐ คน เขาเป็นคนรวย เขาบอกว่า ๒๐ บาทพระคุณเจ้าไม่ต้องจ่ายครับ ผมพร้อมออกให้เลย ขอให้สองคนนั่นมั่นใจ เขาก็ควักเงิน ๒๐ บาทให้ทันที เขามอบให้เลย ให้ภรรยาเขาด้วย เธอใจชื้นขึ้นเป็นของธรรมดา ผมน่ะก็เคยจนมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่รวย แต่ก็รู้สึกรวย ๆ บ้างแล้ว เวลานี้ รวยหน่อย ๆ รวยอะไรรู้ไหม รวยความดีที่พระพุทธเจ้าให้ภูมิใจว่า แม้จะมีสมบัติเล็กน้อยก็ยังภูมิใจ นั่นคือ มโนมยิทธิ สามารถจะแจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทได้ ถึงแม้ว่าผมจะมีความสามารถอย่างเป็ด ๆ จะดีเท่าพระอรหันต์ท่านไม่ได้ ไม่เป็นไร ยังไง ๆ ให้ญาติโยมทั้งหลายเห็นเงาสวรรค์เห็นเงาพรหมโลก เห็นเงานิพพาน เห็นเงานรก เปรต อสุรกายได้ รู้อดีต รู้อนาคตได้ เท่านี้พอใจ ผมถือว่าผมรวย แบบคนแจวเรือจ้าง คนแจวเรือจ้างข้ามฟาก หรือไปไหนก็ตามถ้าได้มา ๒๐-๓๐ บาทสมัยโน้นเขาก็ปลื้มใจมาก คิดว่าวันนี้รวย ผมก็รวยประเภทนั้น ไม่ใช่รวยแบบมหาเศรษฐี

ตอนนี้มาพูดเข้าเรื่อง เวลามันจะหมดอีกแล้ว พอสองคนทอดแหเธอพร้อม คนทั้งหลายแถวนั้นก็หาเครื่องบูชามาครบ ดอกไม้ ๓ ดอก ดอกละสี ธูป ๓ ดอก เทียนหนักบาท ๑ เล่ม และเขียน นะ โม พุท ธา ยะ ใส่กระดาษ แล้วก็ปิดตา เริ่มนั่งก้นครกตำข้าว อาจารย์สุข ก็บรรยายความตามไท้ให้เธอ ไม่ได้สอนอะไร ให้ภาวนาเลยว่า "นะ มะ พะ ธะ"


ประเดี๋ยวเดียวไม่ถึง ๑๐ นาที สองคนนั่นประกาศออกมาเลยว่า "แสงสว่างพุ่งปราดออกมาแล้วครับ"

อาจารย์สุขก็ถามว่า "เธอต้องการเห็นนรกหรือสวรรค์?"

คนนั้นบอกว่า "ผมทอดแหหาปลาเมื่อกี้นี้ เวลานี้ผมไม่คิดถึงปลาละ แต่ว่าผมก็อยากจะรู้ว่า ไอ้การทอดแหหาปลา มันไปไหน?"

อาจารย์สุขบอก "ให้ไปสำนักพระยายม ไปถามท่านว่า โทษที่มีอยู่มันไปถึงไหน?"

ท่านพระยายมบอกว่า "โทษของเธอทั้งหมดประมวลแล้วนะ ถ้าเธอตายเวลานี้เธอต้องตกนรกขุมที่ ๖ (นรกขุมใหญ่) หลังจากนั้นต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมแล้วมาเข้าขุมที่ ๕ ที่ ๔ แล้วผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมเหมือนกัน แล้วมาผ่านยมโลกียนรก แล้วมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ฆ่าสัตว์เดียรัจฉานเท่าไรต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นให้เขาฆ่าจนครบตัว ตัวละชาติ แล้วก็เป็นสัตว์พิเศษอีก

เธอผู้นั้นตกใจหน้าซีด อาจารย์สุขให้ถามพระยายมว่า "ผมจะทำยังไงดีครับ จึงจะพ้นบาป จึงจะพ้นโทษทั้งหลายเหล่านี้?"

พระยายมท่านก็บอกว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะดี และมีทางไปสวรรค์ ถ้าเธอมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ไม่ลืมชีวิตว่าจะตาย ตั้งใจเฉพาะว่าเราจะไปนิพพาน"

นี่ท่านสอนอารมณ์พระโสดาบันเลยนะ คนนั้นกราบท่าน การกราบที่โน่นตัวเขาอยู่ที่นี่ก็แสดงอาการกราบ ร่างกายก็ค้อมแสดงอาการกราบเรียบร้อย ที่โน่นทำยังไงที่นี่ก็ทำยังงั้น เพราะจิตกับร่างกายโยงกันไว้ ผลที่สุดเขาก็ถามว่า

"การปฏิบัติอย่างนี้ ผมมีความดีไปสวรรค์ได้ไหมครับ?"

พระยายมท่านก็บอกว่า "เจตนาร้ายเธอไม่มี เธอทำเพราะความจนบีบบังคับ เวลานี้กำลังจิตเธอเป็นกุศล มีวิมานเป็นที่อยู่ ให้ขึ้นไปด้านสวรรค์"

เธอขอร้องอาจารย์สุขว่า "อยากไปสวรรค์"

อาจารย์สุขก็เลยบอกว่า "ให้ลาพระยายมเสียก่อน เมื่อลาแล้วก็ตั้งใจนึกถึงพระอินทร์"

คนนั้นก็บอก "เห็นพระอินทร์ท่านมาแล้ว" อาจารย์สุขก็บอกว่า "ขอตามท่านไป ถามท่านว่า ความดีที่ทำเวลานี้ไปไหน?"

พระอินทร์ท่านก็บอกว่า "ความดีที่ทำเวลานี้เป็นฌานสมาบัติ อันนี้ไม่พักแค่สวรรค์ ต้องไปพรหมโลก ให้รักษาความดีไว้อย่างนี้ แต่ถ้าจิตมันเลวลงมานิดหนึ่ง เวลาจะตาย เธอจะค้างที่สวรรค์ ถ้ากำลังใจขนาดนี้เธอจะไปพรหมโลก"

แล้วท่านก็พาไป ไปดูวิมานของเธอที่พรหม บอกว่า "กำลังใจแบบนี้นะ วิมานนี้จะอยู่พรหมชั้นที่ ๑๐"



แสดงว่าเวลานั้นเธอยังเต้นปึ้บปั้บอยู่ ก็เป็นฌาน ๔ ขั้นหยาบ เธอดีใจมาก เห็นวิมานผ่องใสสวยงาม


พอขึ้นไปเท่านั้นเธอประกาศออกมาเลยว่า ร่างกายเธอเปลี่ยน บอกว่า "ร่างกายเวลานี้ผมเป็นพรหมหมดแล้วครับ เหมือนพรหมทั้งหมดสวยสดงดงามมาก"

เธอปลื้มใจมาก สดชื่น ไอ้หน้าตาทางนี้ก็สดชื่น ทางโน้นดีใจ ข้างล่างก็ดีใจด้วย เพราะจิตมันโยงกับร่างกาย พอเธอท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ จบ จวนจะกลับ ผมก็อยากจะพิสูจน์ เวลานั้นผมอยู่วัดบางนมโค ก็เลยถามเธอว่า ให้เธอไปดูกุฏิผมซิ มีอะไรบ้าง กุฏิผมรูปร่างเป็นอย่างไร เธอไม่เคยรู้จักผมมาก่อนเลย เธอบอกถูกหมด ของอะไรที่มีความสำคัญเพราะผมจำได้ของสิ่งนั้นอยู่ตรงไหน ลักษณะเป็นอย่างไร เธอบอกถูกหมด กุฏิผมกว่าจะเข้าถึงห้องนอนมีประตูกี่ชั้น และกุฏิมีลักษณะเป็นอย่างไร มีฝาเท่าไร มีหน้าต่างเท่าไร เธอนับเรียบร้อย ไป ๆ มา ๆ เธอย่องนับสตางค์ในกระเป๋าผมเข้าน่ะซิ

เธอบอกว่า "สตางค์ในกระเป๋าพระคุณเจ้าเวลานี้มีอยู่ ๓๐ บาท เท่านั้นครับ" (ในย่าม) ตรงเป๋งเลย ชาวบ้านก็ฮาตึง ถามผมว่า "จริงไหม?" บอกว่า "จริง" เขาฮากันใหญ่

พอบอกมี ๓๐ บาท อีตอนนี้สิ ชาวบ้านเดือนร้อน มึงก็ควัก กูก็ควัก เป็นอันว่าวันนั้นได้เงินจริง ๆ ๔๐๐ บาทเศษ นี่ผมไม่ได้ขอเขา เขาสงสารผม บอกว่าพระขนาดนี้มีสตางค์ ๓๐ บาทเหรอ ก็เลยบอกว่า ตามปกติแล้วมีสตางค์ประจำกระเป๋าผม ๒๐ บาท เป็นประจำ เหลือจากนั้นทำอาหารเลี้ยงพระบ้าง ก่อสร้างบ้าง สร้างโบสถ์บ้าง เงินได้มาเท่าไรก็ตามใจ จะเหลือคงตัวไว้ ๒๐ บาท ถ้ามีความจำเป็นไปไหนมีติดย่ามไว้ไปได้ทันที เท่านี้แหละ เขาถามว่ามีเท่านั้นเหรอ ก็บอกเท่านั้นพอแล้ว

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ที่ผมคุยให้ท่านฟัง ไม่ใช่โอ้อวดว่ามักน้อย ผมมีความรู้สึกอยู่เสมอตามความเป็นจริง เห็นเพื่อน ๆ ที่ตายไม่มีใครขนอะไรไปได้เลย และผมย่องไปดูในนรกแล้ว ชีวิตของผม ผมเคยตกนรกมาหลายขุม ตั้งแต่ขุมที่ ๖ ขึ้นมาผมว่าเรียบ ผมเคยผ่านมาหลายวาระ ผมเข็ด จึงอยากให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทรู้บ้าง

เมื่อเลิกเจริญกรรมฐานวันนั้น คนหาปลาเธอพอใจมาก คนทั้งหลายในที่นั้นก็ประกาศเลย "ต่อไปนี้ฉันจะให้ข้าวสารคนละถัง" อีกคนหนึ่งพูด "ต่อหนึ่งเดือน" อีก ๓ - ๔ คนก็บอกว่า "ฉันให้เธอคนละถังเหมือนกัน" รวมความว่าเธอมีโอกาสได้ข้าวสารคนละกระสอบ ถ้าหากว่าไม่ทอดแห เธอบอกว่า "ไม่ทอด" และเขาจะให้เป็นเงินเดือนอีกคนละ ๒๐ บาทต่อหนึ่งเดือน เธอพอใจ เพื่อเป็นเงินค่ากับข้าว เวลานั้นครูประชาบาลบางคนได้เงินเดือน ๘ บาทก็มี ๔ บาทก็มี นายสิบนี่เงินเดือน ๑๖ บาท นั่นเธอได้ตั้ง ๒๐ บาท ข้าวสารก็ไม่ต้องซื้อ เธอกลายเป็น พุทธมามกะ เป็นคนเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

หลังจากนั้นแล้วผมขอเรียนจาก อาจารย์สุข ชอบใจมาก เอาคนที่กำลังทำบาป กินเหล้า และก็เอาคนที่กำลังทอดแหมา ทำได้ ผมก็คิดว่าบรรดาญาติโยมทั้งหลายท่านก็มีความดีกว่านั้นมาก กำลังใจท่านสมบูรณ์แบบด้วยศรัทธา มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ท่านต้องทำได้ ความรู้ที่เรียนผมบอกไว้เลย ผมไม่ปกปิดเพราะหลักสูตรที่ผมปฏิบัติจริง ๆ เรียนมามันยากเหลือเกิน ยากสำหรับผม อย่าลืมว่าผมบวชเกือบ ๒ เดือน จึงทำได้ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่นั่งที่นี่ได้โปรดอย่าท้อใจ ท่านทำกันแค่ ๓ - ๔ วัน บางคนบอกนานเต็มที อันนี้บางคนไม่เคยเลยทำวันเดียวไม่ได้ก็มาเซ้าซี้บอกว่าขอให้หาหลักสูตรที่ง่ายกว่านี้ได้ไหม ทุกคนเขาบอกว่าทำวันเดียว ส่วนผมเกือบ ๒ เดือนจึงได้ ผมไม่บ่น แต่เพื่อนพระบวชด้วยกัน บางท่านทำถึง ๓๐ ปีท่านไม่ได้ ตายไปก็เยอะ เพราะตั้งใจทำจริง
ฉะนั้นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด ให้ภูมิใจในตัวเองว่า เรามีความสามารถ ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อย เราก็หมดความสงสัยในเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน พรหมโลก หรือว่าตายแล้วเกิด ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อคำสั่งสอนปรัมปราหรือที่ผลิตกันขึ้นมาใหม่ว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เทวดาไม่มี ตายแล้วสูญ เราจะไปเชื่อเขาทำไมในเมื่อเราพบกันแล้ว

หลักสูตรนี้เป็นอย่างนี้ครับ หลักสูตรของครู อันดับแรกต้องท่อง อิติปิ โส ทั้ง ๓ ห้อง คือทั้งบทให้ได้ก่อน ความจริง อิติปิ โส ทั้ง ๓ ห้องนี่ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดไม่มีใครต้องท่อง เพราะว่าได้แล้ว อิติปิ โสนี่สำหรับไว้ทำน้ำมนต์ แต่ว่าเวลาจะทำน้ำมนต์ ครูจะต้องเจอะพระพุทธเจ้าก่อน ขอกำลังพุทธบารมีช่วยทำน้ำมนต์ ถ้าจะถามว่า น้ำมนต์ทำไว้ทำไม อันนี้เต็มอัตรานะครับ น้ำมนต์เขาจะพรมก่อนฝึก พอเริ่มจะฝึกเขาก็พรมน้ำมนต์กันผีแทรก กันอารมณ์หลง พอประกาศเลิกฝึกก็พรมน้ำมนต์อีกครั้งหนึ่ง และก็สำหรับครูใช้คาถาภาวนาว่า นะ โม พุท ธา ยะ เวลาเอาธูปหอม ๆ เข้าไปหาลูกศิษย์ให้ชื่นใจ หรือจะเอาไฟไปส่องที่หน้า ให้ใช้คาถาว่า นะ โม พุท ธา ยะ คืออาศัยบารมีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์กับพระศรีอาริยเมตไตรย ช่วยสงเคราะห์ให้เขาสว่าง ไปได้

และก็สำหรับค่าครู ต้องมีของที่บูชาครูคือ ธูป ๓ ดอก ธูปเล็ก ๆ ก็ได้ เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ดอกไม้ ๓ ดอก ๓ สี และเงิน ๑ สลึง สำหรับเงิน ๑ สลึงนี่ผมก็ได้เคยศึกษากับพระท่าน ท่านบอกว่า อย่าไปคิดว่าจะต้องให้เสียเงินเลย เงิน ๑ สลึง หรือ ๑ บาท ถ้าเขาเสียไม่ได้ เขาก็จงอย่าเรียนกับเรา เราก็กินเงินนั้นไม่ได้ ใช้ไม่ได้เงินจำนวนนี้ จะต้องเอาไปซื้อของถวายพระ ซื้ออาหารก็ได้ ไปก่อสร้างก็ได้ ให้เป็นบุญกุศล เงินที่ทุกคนทำจะได้เป็นการตัดโลภะ ความโลภ เป็นทานบารมีหรือเป็นจาคานุสสติ จะทำทุกครั้งต้องใช้เงิน ๑ สลึงทั้งหมด และเขียนคำว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" ลงในแผ่นกระดาษและพับเป็นสามเหลี่ยมให้คนฝึกปิดหน้าไว้ แล้วภาวนาว่า "นะ มะ พะ ธะ"


นี่วิธีการสอนมีเท่านี้ครับ ไม่มีอะไรมาก การฝึกเต็มอัตราเวลาเธอทำได้ จิตใจ ฌานสมาบัติเธอยังไม่เรียบ ก็เต้นตึงตัง ๆ ตบเข่าเปะปะ ๆ อันนี้ต้องช่วย ถ้ามือที่เขาพนมอยู่ตีหน้าอก ให้จับมือมาวางที่เข่าทั้งสองข้าง วางคว่ำลงไปหาเข่า ที่เป็นอย่างนี้เวลาฝึกถ้ามีผู้หญิง พระเราจับมือเขาไม่ได้ ต้องมีผู้หญิงสักคนหนึ่ง ถ้าผู้ชายมาจับมือ มันไม่สวย ก็ต้องใช้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาช่วยกันจับมือพวกผู้หญิงลง

เมื่อเรียนแล้ว ท่านบอกว่าไม่ต้องมีเหล้า และผมศึกษามาแล้ว เวลาที่จะปฏิบัติเมื่อก่อนนี้ คือเมื่อปี ๒๕๐๘ ผมลองมาแนะนำแก่คนได้ประมาณสัก ๓๐ คน ภาคเหนือนี่นะ แต่ตอนที่ผมอยู่ใต้ ๆ สอนได้เยอะ แต่ว่าทุกคนไม่มีโอกาสจะไปถึงพรหมนี่น้อยเต็มทีครับ ส่วนมากไปแค่สวรรค์ ไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ กำลังที่จะไปถึงพรหมมีน้อย แต่ถึงนิพพานจริง ๆ เกือบจะมีไม่กี่คน เพราะว่าสอนตามแบบฉบับของครู ต่อมาผมก็คิดว่า กำลังใจของญาติโยมพุทธบริษัทสะอาดไม่พอ ผมก็คิดในใจว่า เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ความรู้อย่างนี้ เขตเบื้องต้นไปถึงแล้ว ปลาย ๆ ต้องไปได้ ต่อมาก็มาปฏิบัติใหม่


ให้ทุกคนสมาทานศีล เมื่อสมาทานศีลให้สมาทานด้วยความเคารพ หลังจากนั้นก็แนะนำให้อริยสัจ เบา ๆ ให้มีความรู้สึกว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นสุข ให้เข้าใจเรื่องความทุกข์ตามความเป็นจริงว่า หิวก็ทุกข์ หนาวก็ทุกข์ ร้อนก็ทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ มีความปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์ มันทุกข์ไปหมด ความแก่ก็ทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ ความตายก็ทุกข์ ถ้าเรายังต้องการเกิดเป็นมนุษย์อยู่อีกเราจะมีทุกข์หาที่สุดไม่ได้ ดีไม่ดีทำบาปนิดเดียวเราไปนรก ให้ตัดสินใจว่า


"ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เราไม่ต้องการมันอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมเป็นสุข ก็สุขชั่วคราว ไม่สุขนาน หมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องพุ่งหลาวลงนรก เราไม่เอา เราหนีเลย เราจะไปนิพพาน" ให้ทุกคนตัดสินใจว่าต้องการจุดเดียวคือนิพพาน แล้วก็ทิ้งจังหวะให้เกิดความมั่นใจ

หลังจากนั้นก็ให้เอากระดาษปิดหน้า ให้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ แล้วเวลานั้นท่านบอกว่า ขอทุกคนจงอย่าห่วงอะไรทั้งหมด แม้แต่ชีวิตและร่างกายมันจะตายเวลานี้ก็ช่าง เราไม่ห่วง ตัดสินใจให้แน่นอนเฉพาะเวลา หลังจากนั้นก็แนะนำว่า จงอย่ายุ่งกับนิวรณ์ ๕ ซึ่งมี ๕ อย่าง แต่เราไม่นึกถึงมันเลย นึกถึงอย่างเดียวคือ คำภาวนากับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะ ตอนนี้แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร มีผลเกินคาด มีการคล่องตัว พอแสงสว่างพุ่งหากายเธอบอก เห็นพระพุทธเจ้าชัด ก็เลยบอกเธอว่า ทุกคนติดตามพระพุทธเจ้าไป จะบอกว่าแกะชายสังฆาฏิไม่ถูก เพราะเวลานี้ทุกคนต้องการพระนิพพาน พระพุทธเจ้ากำลังพาไปนิพพาน ทุกคนถึงนิพพานหมด และมีสภาพแจ่มใสแพรวพราวระยับขัดเจน แจ่มใสเหมือนกลางวันเวลาเที่ยง

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท นี่การแก้ไขนิดเดียวสามารถพบนิพพานได้ แต่ว่าคนที่นั่งฟังนี่เองเขาจะหาว่าผมบ้าก็ได้นะ นิพพานเขาสูญ ของเขาสูญก็ช่าง แต่ในพระไตรปิฎกไม่สูญ และการปฏิบัติของพวกเราก็ไม่สูญ เราเชื่อของเราดีกว่า เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย สัญญาณบอกหมดเวลาสองเครื่องมันบอก "เลิกเหอะ หมดเวลาแล้ว" ก็ต้องขอหยุดก่อน ลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี





แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก