วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๙ ผมบ้า

ท่านภิกษุสามเณรทั้งหลายและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟัง วันนี้ก็มาฟังเรื่องในสมัยที่ผมเป็น คนบ้า และก็วันที่พูดเก็บเสียงไว้เป็น วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เผื่อว่าผมตายไปแล้วจะได้ทราบว่าผมพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร

ความจริงเรื่องผมเป็นคนบ้านี่ผมเป็นมาหลายปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ ความบ้าของผมมาระงับลงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยากจะถามว่าทำไมจึงบ้า แต่ความจริงผมรู้สึกตัวว่าผมยังไม่ได้บ้า แต่ว่าถ้าจะบ้าก็ใช่เหมือนกัน ที่ว่าใช่ก็เพราะว่าอารมณ์ไม่เหมือนคนอื่น

ตามธรรมดาถ้าเราเข้าวงเหล้าไปนั่งกับคนที่เขากินเหล้าด้วย ถ้าเราไม่กินเหล้าเขาหาว่า "เราบ้า"

เขาเล่นการพนัน ถ้าเราไม่เล่นการพนันกับเขา เขาก็หาว่า "เราบ้า"

ทีนี้ถ้าเข้าวงพระ ถ้าพระท่านเอาแต่ตำราอย่างเดียว และก็ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมดาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีความรู้เหมือนเขา เขาก็หาว่า "เราบ้า"

แต่สำหรับความบ้าของผมไม่ใช่แต่ว่าพระจะให้บ้า มันเป็นทั้งพระ ทั้งประชาชนหลายคนด้วยกันที่เขาให้บ้า


ความก็มีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ปีนั้นหล่อรูปหลวงพ่อปาน ที่วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ท่านหญิงภาวดี คือ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี ท่านได้ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราขินีนาถให้ทรงมาเททอง และตามธรรมดาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถ้าเสด็จไปไหน สิ่งมหัศจรรย์ที่เราไม่คิดจะปรากฏขึ้นเสมอ นั่นคือฝนตก อากาศปกติธรรมดา ๆ ก็ไม่น่าจะมีฝนตก ก็มีฝนตกลงมาแต่เวลาที่ฝนตก ฝนไม่ทำความเสียหายให้แก่งานเลย ทุกคนกลับมีความชุ่มชื่น เพราะเวลานั้นเป็นฤดูร้อนมาก คือ เดือนเมษายน แต่ว่าพอเวลาใกล้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึงจริง ๆ ฝนก็หายหมด ปรากฏว่าคนทุกคนได้รับความชื่นใจเป็นพิเศษ

อาการอย่างนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทที่รับฟังโปรดทราบ จะคิดว่าฝนตกเป็นเรื่องธรรมดาของดินฟ้าอากาศ อันนี้ไม่จริงแน่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพิสูจน์แล้วเวลาพวกเรา ๆ มากันเอง พระมากันตั้งเยอะแยะ ทำไมฝนไม่ตก และก็ฤดูนั้นก็ไม่ใช่ฤดูฝน ก่อนหน้าที่ฝนจะตกก็ไม่มีทีท่าเลยว่าฝนจะตก

(สำหรับวันนี้ได้ยินเสียงกระแหร่มแอมไอ ขากเสมหะบ้างก็ต้องขออภัยเพราะยังป่วยอยู่มาก ตอนเช้าเดินโซซัดโซเซ ถึงเวลาบ่ายโมงอาการยังไม่ค่อยดีขึ้นมาตอนนี้ก็รู้สึกว่าใจสั่นระริก แต่ว่าเพื่อธรรมะผมก็ทำ ทำเพื่อช่วยการปฏิบัติของบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ฉะนั้นถ้าหากว่าเสียงจะแหบแห้งไปบ้าง การขากเสมหะจะปรากฏขึ้นก็ต้องขออภัย)

เป็นอันว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ และมีพระบรมราชินีนาถเสด็จด้วย การเททองปรากฏขึ้น ต่อมาก็มีโอกาสได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ พระองค์ก็ตรัสถามหลาย ๆ อย่าง

แต่ว่าพวกคุณทั้งหลายโปรดทราบไว้ด้วยนะ การจะคุยกับคนก็ต้องดูว่าคนประเภทนั้นเป็นอะไร นี่ผมไม่ได้หมายความว่าพระองค์เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยโดยเฉพาะ ผมหมายถึงว่าท่านผู้จะคุยกับเราเป็นผู้ทรงธรรมหรือเปล่า

สำหรับพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ผมทราบมาดีว่า พระองค์ทรงธรรมดีเลิศ ผมก็ไม่เคยเห็นใครปฏิบัติได้ดีอย่างพระองค์

ถ้าจะถามว่า เอาผมเข้าไปเปรียบเทียบ อย่าเลยครับ อย่าเข้าไปเปรียบเทียบกับท่าน พระกับฆราวาสเปรียบเทียบกันไม่ได้ พระมีภารกิจน้อยกว่าฆราวาส ฆราวาสมีภารกิจมากกว่าพระ เพราะต้องทำมาหากิน พระนี่มีชีวิตอยู่เพราะอาศัยฆราวาสเลี้ยงโดยตรง

ข้อนี้ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านจงอย่าลืม ถ้าลืมข้อนี้กลายเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ความดีของพวกเราจะหมด ไม่ปรากฏว่าเป็นคนมีความดี เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า


"นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า

"ความเป็นผู้มีความกตัญญูรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว (คือท่านช่วยเราแล้วท่านสงเคราะห์เราแล้ว) และเราก็ตอบสนองท่านด้วยความดี พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นคนดี"

ถ้าเราขาดความกตัญญูรู้คุณท่านผู้มีคุณ ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงยกย่องว่าเป็นคนดี เราก็เป็นคนเลว ฉะนั้นขอท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมความดีของท่านที่สงเคราะห์

แต่สำหรับฆราวาสก็ต้องดูเหมือนกัน ท่านส่งเสริมเรา ท่านสงเคราะห์เราหรือท่านทำลายเรา สำหรับท่านที่ทำลายเราเราก็เฉย ๆ อย่าไปโกรธท่าน อย่าไปว่าท่าน ให้ถือว่าอาการอย่างนั้นมันเป็นกฎของกรรม ในเมื่อกรรมชั่วช้าไปสนองใจของท่าน เข้าไปครอบใจ ท่านผู้นั้นก็จะทำความดีอะไรไม่ได้เลย ใครเขาทำดีเห็นเป็นชั่ว ใครเขาทำชั่วเห็นเป็นดี ตัวเองก็ชอบประพฤติชั่ว ชอบเบียดเบียนคนอื่นอยู่เป็นปกติ นี่เป็นลักษณะของอกุศลกรรมครอบงำจิต
แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อย่าลืมว่า พระองค์ทรงธรรมดีมาก จะเห็นว่าการปฏิบัติของพระองค์ การเสด็จไปเยื่ยมเยียนบรรดาประชาชนทั้งหลาย ความจริงพระองค์ไม่ได้เสด็จไปเยี่ยมเฉย ๆ ไม่ใช่ไปถามอย่างโน้นไปถามอย่างนี้แล้วก็กลับ ไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นก็ยังถือว่าดี แต่ว่าดีไม่มาก แต่ว่าที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ใครเขาขาดแคลนน้ำหาทางให้มีน้ำขึ้น ใครเขามีความอดอยากหาทางให้มีฐานะดีขึ้น ทรงห่วงใยประชาชนเป็นอย่างเลิศ อันนี้จะต้องคิดว่าความดีอย่างน้อยที่สุด

คำว่า "ความดีอย่างน้อย" นะ พระองค์ต้องทรงคุณธรรม ๔ ประการครบถ้วนเป็นอันดับแรก นั่นคือ "สังคหวัตถุ ๔" ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังคหวัตถุ ๔ ประการนี่ เป็นปัจจัยให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ในท้องที่ที่เราอยู่ ถ้าสามารถปฏิบัติได้ทั้งโลก โลกก็จะมีความสุข

สังคหวัตถุ ๔ ก็คือ

๑. ทาน การให้ การยื่นโยน การให้แกงบ้าง ให้ข้าวบ้าง ให้ของใช้บ้าง ตามกำลังที่เราจะพึงสงเคราะห์ เขาอดเราให้ เขาไม่มีเราให้ ถ้าเราไม่มี เราอด เขาก็ให้เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

"ปูชา ละภะเต ปูชัง" ผู้บูชาเขาย่อมได้การบูชาตอบ

"วันทโก ปฏิวันทนัง" เราไหว้เขา เราก็ได้ไหว้ตอบ

คำว่า "บูชา" หมายถึง "การยอมรับนับถือ" ไม่ใช่หมายถึงการจุดธูปเทียนบูชากัน ไม่ใช่อย่างนั้น ยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ไม่เหยียดหยามไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ยอมรับสิทธิซึ่งกันและกัน ๑. ไม่คิดประทุษร้ายร่างกายเขา
๒. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม

๓. ไม่ยื้อแย่งคนรัก
๔. ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ

๕. ไม่พูดส่อเสียด ยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน
๖. ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์

๗. ไม่ดื่มสุราเมรัย
๘. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดมาโดยไม่ชอบธรรม

๙. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๑๐. ทำความเห็นให้ถูก

คือรวมความว่าถ้าอาการทั้งหมดนี้ทรงตัว โลกก็มีความสุข ทีนี้ปัจจัยส่วนหนึ่งที่เราเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ก็เป็นเหตุให้มีความดี ความชอบ ต่างคนต่างรักกัน ต่างคนต่างถนอมน้ำใจกัน และต่างคนต่างเป็นมิตรกัน ต่างคนต่างดีเข้าหากัน มันก็มีความดี เขาขาดแคลนเราให้ เราขาดแคลนเขาให้ ต่างคนต่างรักกัน
๒. ปิยวาจา วาจาที่น่ารัก ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขกายสุขใจเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างรักกัน

๓. อัตถจริยา การช่วยเหลือในการงานของบุคคลอื่น ที่เขาขาเแคลนการงาน อันนี้ก็เป็นปัจจัยให้รักกัน

๔. สมานัตตา การไม่ถือตัวถือตน อันนี้ก็ปัจจัยให้เกิดความรัก

รวมความว่าอันดับแรก ความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันดับแรกนี่สังคหวัตถุ ๔ ประการ พระองค์ทรงครบถ้วน เป็นความดีเบื้องต้นที่เราจะพึงเห็น



ต่อไปก็เป็นความดีอันดับที่สอง นี่ผมไม่ได้จัดเรียงลำดับตามธรรมะนะ อันดับที่สองนี่ผมแปลกใจในพระองค์ ผมก็ต้องถือว่าผมสู้พระองค์ไม่ได้ เพราะว่าพระองค์มีภารกิจมาก ทำได้อย่างนั้น ผมทำยาก นั่นก็คือ ไม่ทรงนินทาใคร ไม่ทรงตำหนิใครว่าเลว

ผมได้มีโอกาสได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ก็ต้องบอกว่าหลายครั้งไม่เคยทรงตำหนิใครเลย อันนี้ แหม...เป็นเรื่องหนักที่คนอื่นทำได้ยากจริง ๆ และการถือพระองค์ว่าพระองค์เป็นอะไร พระองค์ก็ไม่มี เข้าไปหาใครก็ตามทรงถือว่าเป็นกันเองอยู่เสมอ จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเวลาเสด็จเยี่ยมประชาชนพระองค์ก็ทรงนั่งใกล้ ๆ เขา คุยกันแบบธรรมดา ๆ กับปู่ย่าตายายทั้งหลาย และบรรดาพสกนิการทั้งหลาย ท่านคุยตามปกติ บางครั้ง ผมเห็นท่านนั่งพับเพียบคุยกับบรรดาคุณยายทั้งหลาย นี่การไม่ถือตัวไม่ถือตนของพระองค์นี่ดีเยี่ยม

แต่ว่าครั้งหนึ่งพระองค์ตรัสกับผมเองว่า "กิเลสหยาบที่มีความชั่วมากก็คือมานะ การถือตัวถือตน" พระองค์ทรงถือว่าการถือตัวถือตนเป็นความหยาบของอารมณ์ เป็นความหยาบของจิต เป็นกิเลสที่หยาบมาก อันนี้จริงและก็ไม่ทรงถือพระองค์จริง ๆ

ผมเคยพบข้าราชการผู้ใหญ่หรือเศรษฐี ข้าราชการผู้ใหญ่จริง ท่านก็ไม่ถือตัว แต่เท่าที่ผมพบนะข้าราชการผู้ใหญ่ ข้าราชการผู้น้อยส่วนใหญ่จริง ๆ ท่านไม่ถือตัวสำหรับผม แต่ว่ามีบางจุดท่านกลายเป็นภูใหญ่ไป วางท่าซะมองหน้าไม่ไหวเลย เต๊ะท่า บางทีพูดน้ำลายเขาเรียกว่าไม่มีหางเสียง ภาษาชาวบ้านผมนึกไม่ค่อยออก คือพูดห้วน ๆ สะบัด ๆ ส่วนมากมักจะเป็นขุนนางผู้น้อย วางตัวเกินพอดี ผมเห็นแล้วผมก็สลดใจ


อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นก็คือ ทรงจิตเป็นฌานสมาบัติได้ดีเป็นเลิศ ผมขอสรรเสริญพระองค์ ความจริงการสรรเสริญของผมนี่ก็คงไม่มีผลตอบสนองเป็นวัตถุ ทั้งนี้เพราะผมไม่ต้องการด้านวัตถุ ผมต้องการอย่างเดียวคือพูดตามความเป็นจริง อย่าลืมนะว่าผมพูดเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ถ้าไปเทียบกับความดีของพระองค์ล่ะพรรณนากันไม่ไหว ส่วนสำคัญคือกำลังใจของพระองค์ในการเจริญสมาธิ สามารถเข้าฌานออกฌานได้ตามเวลา สำหรับด้านวิปัสสนาญาณนั่น ท่านทำถึงไหนผมไม่ทราบ ก็เป็นเรื่องความสะอาดของจิต แต่ผมมีความมั่นใจว่าพระองค์มีความสะอาดของจิตมากเหลือเกิน ยากที่จะพูดพรรณนาได้

และก็มีคนเขาชอบถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระอริยเจ้า ไหม? หรือว่าเป็นพระโพธิสัตว์?

อันนี้ผมก็ไม่รู้กำลังใจของพระองค์เหมือนกัน แต่ว่าถ้าดูด้านพระราชจริยาวัตรของพระองค์แล้ว จริยาวัตรของพระองค์แสดงออกชัดว่าเป็นพระจริยาของพระโพธิสัตว์ แต่ผมก็ไม่ยืนยันนะครับ เพราะผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า อันนี้เป็นการสังเกตของผมเอง

ก็รวมความว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความดีขนาดนี้ ไม่ดีแต่จริยาที่ประพฤติภายนอกแถมดีภายใน ภายในดีมากเสียด้วย ด้านจิตใจน่ะดีมากครับอย่าประมาทท่านนะ ในบรรดาเพื่อนของผมที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาหรือไปไหนก็ตาม จงอย่าคิดว่าท่านเป็นฆราวาสธรรมดา ความจริงท่านก็เป็นฆราวาส ท่านไม่ได้นุ่งสบงจีวร แต่กำลังใจและอารมณ์จิตของพระองค์นี่สะอาดมาก บางทีพวกห่มผ้าสบงจีวรหลาย ๆ ท่านไม่สามารถจะทำความดีได้แค่หนึ่งในร้อยของพระองค์ก็มีมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าผมเป็นนักบวช ผมย่อมรู้ในจริยาของนักบวช นักบวชที่ดีท่านก็มีมาก ที่เลวไม่เอาไหนเลยท่านก็มีมาก



ก็รวมความแล้วว่าวันนั้นผมจะต้องเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นวาระแรก ที่เสด็จมาถึงวัดท่าซุง ก่อนนี้ก็ไม่เคยเฝ้า ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไม่ได้จดไว้นะ อาจจะเป็นวันที่ ๒๐ เมษายน ก็ได้ ก็รวมความว่าก่อนที่จะเข้าพบกับพระองค์ผมทำอย่างไร อันนี้กำลังใจด้านแรก ขอแนะนำแก่บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งอย่างผม ผมก็ทราบว่าถ้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามลำพัง ทว่าตามลำพังหมายความว่าไม่ใช่กลุ่มคนมาก ไม่ใช่อยู่องค์เดียว แต่ว่าเป็นส่วนน้อย ตอนนั้นก็ต้องคิดว่าพระองค์เป็นใคร สำหรับกำลังใจของผมมีความรู้สึกเหมือนกับนิยายที่เขาเขียนกัน เขาว่า "ประเทศเมื่อถึงคราวทุกข์ยากลำบากยากแค้น จะต้องมีพระราชาทรงธรรม ที่เรียกว่า ธรรมมิกราช หรือ ธรรมมิกราชา มาสงเคราะห์"



ความจริง "ธรรมมิกราช" ก็ดี "ธรรมมิกราชา" ก็ดี ไม่มีอะไร ถ้าแปลเป็นภาษาไทย เขาจริง "พระราชาผู้ทรงธรรม" ถ้าเรียกธรรมมิกราชขึ้นมา โอ้โฮ..ใหญ่โตเหลือเกิน ความจริงก็ใหญ่ คนที่ทรงไว้ซึ่งความดีเราจะถือว่าเล็กไม่ได้ เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ตาม ถ้ามีความดีเราก็ต้องบูชาความดีของท่านผู้นั้น

สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ผมไม่สงสัย ที่ไม่สงสัยใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะในยุคนั้นเขาหาว่าผมเป็นคนบ้าอยู่แล้วนี่ ผมก็ต้องบ้าคิดตามอารมณ์ของผม ผมคิดว่าวันนี้เราจะไปพบกับพระราชาผู้ทรงธรรม หรือเรียกตามภาษาบาลีว่า "ธรรมมิกราช" และถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสออกมาต้องประกอบไปด้วยธรรม และสำหรับผมเองก็ไม่ได้เฟื่องฟูในธรรม ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้รอบคอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาท่านมีความรู้อยู่ผมจะทำอย่างไร ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมาแล้ว ผมตอบไม่ได้ คำว่าผมตอบไม่ได้ผมเองก็ไม่ได้อายพระองค์ เพราะว่าผมเองก็ไม่ใช่สัพพัญญู ไม่รู้ทั้งหมด ผมสามารถจะตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้

แต่ก็คิดในใจว่าถ้าอะไรบ้างที่ไม่เกินความสามารถของเราและก็ไม่เกินความสามารถของผู้สงเคราะห์ผมอยู่นะ (ท่านผู้สงเคราะห์ผมอยู่นี่เป็นท่านที่พวกท่านเคยเห็น แต่ก็ไม่ปรากฏเป็นร่างเนื้อหรือหนังให้ปรากฏ) ผมคิดว่าผมควรจะตอบได้ทุกอย่างที่พระองค์ตรัสถาม ทั้งนี้ผมจะไม่ใช้เฉพาะปัญญาของผม ผมจะขอพึ่งบารมีท่านผู้ทรงคุณวิเศษ ฉะนั้นเวลาที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ ในโบสถ์วัดท่าซุงก็ได้อาราธนาบารมีของทุก ๆ พระองค์ที่สงเคราะห์ "ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมา ก็ขอให้ตอบได้ตรงตามความเป็นจริง"

วันนั้นมีโอกาสอยู่กับท่าน คือท่านสนทนาด้วยตามเวลาที่เจ้าหน้าที่เขาบอกมา เขาบอกว่าพระองค์ทรงใช้เวลา ๔๕ นาที ซึ่งมีใครเขาบอกมาก็ไม่ทราบว่า พระองค์จะทรงพบได้แค่ ๑๕ นาที ผมคิดว่าคนอย่างผมนี่มีวาสนาบารมีต่ำต้องอย่างนี้ ถ้าจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงแค่ครึ่งวินาทีนี่ผมก็ชื่นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวของประเทศไทย คือประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งละ ๑ องค์ และคนไทยเวลานั้นถึง ๔๕ ล้านคน ก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้แปลกกว่าองค์อื่นทั้งหมด ซึ่งมีประชาชนได้มีโอกาสเข้าใกล้พระองค์ได้มากที่สุด ในดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จและเสด็จไปเข้านั่งใกล้คน มีโอกาสจะพูดโอภาปราศรัย พูดด้วยเสมอ อันนี้เป็นของหายาก แต่ถึงกระนั้นก็ดีคนทุกคนก็จะทำอย่างนั้นได้ยาก ถ้าจะหาทุกคนไม่ได้ตั้ง ๔๕ ล้านคน เวลานั้นและถ้าผมมีโอกาสสักครึ่งวินาทีผมก็จะชื่นใจว่าใน ๔๕ ล้านคน ผมก็คนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชาผู้ทรงธรรม
คำว่าพระราชาผู้ทรงธรรม อย่าคิดว่าผมยกย่องพระองค์เกินความเป็นจริงนะ ผมบอกแล้วนี่ อันดับต้น สังคหวัตถุ ๔ ของพระองค์ครบถ้วน ขั้นสุดท้ายกำลังใจสูงส่งในด้านสมถะวิปัสสนาและขันติ กำลังใจเมตตาของพระองค์ทรงดีมาก ใครว่าอะไรก็ตาม นินทาอะไรก็ตาม ไม่ทรงโต้ตอบ และก็ไม่เคยตำหนิใครว่าชั่ว อันนี้หาได้ยาก ถ้ามากไปกว่านี้ ผมคิดว่าเทปอีกสัก ๑๐๐ ม้วน ผมพูดเรื่องของท่านไม่จบ

ก็รวมความว่าวันนั้นเข้าไป พระองค์ทรงแสดงชัดไม่เคยถือพระองค์ และผมเองก็เป็นพระป่าพระดง ราชาศัพท์ผมก็ใช้กับเขาไม่เป็น ไม่รู้ว่าพระเขาพูดกับพระเจ้าแผ่นดินว่าอย่างไร ผมก็เล่นลูกทุ่งตามปกติของผม ท่านถามมาผมก็ตอบไป ท่านถามมาผมก็ตอบไป ผมจำไม่ได้ว่าท่านถามเรื่องอะไรบ้าง มาในช่วงหลังพอจะนึกออก ท่านถามถึงภาวะความเป็นไปของชาติและประชาชนในชาติ

เห็นไหมบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท ท่านไม่ได้ถามว่าพระองค์จะมีความสุข พระองค์เองจะร่ำรวยขนาดไหน ไม่ได้เคยปรารภถึงพระองค์เองเลย ทรงปรารภเฉพาะว่าเวลานี้บ้านเมืองมันเต็มไปด้วยความคับแคบ บรรดาประชาชนอดอยากยากจนกันมาก ฝืดเคืองมาก ท่านถามว่า

"ต่อไปชาติเราจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และจะมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน?"

ถามเข้าตรงนี้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมก็ไม่ไหวซิ ตัวคนเดียวสู้ไม่ได้แล้ว งานเหนื่อยก็เหนื่อย ไม่มีการเตรียมการ ไม่มีหมายกำหนดการจะถามว่าอย่างนั้น อย่าไปนึกว่าท่านถามเกินพอดีนะ ไม่ใช่ ผมทำยังไง ผมก็ต้องเอาบารมีพระพุทธเจ้าเข้าช่วย ผมนึกไปก่อนแล้วขอให้ดลใจให้ผมตอบได้ เมื่อท่านถามมา ผมก็ถวายพระพรไป บอกว่า
"หลังจากนี้ไปเข้าเขต พ.ศ.๒๕๒๔ บ้านเมืองของเราจะเข้าเขตฟ้าสาง"

คำว่า "ฟ้าสาง" นี่หมายความว่า มันยังไม่สว่าง ยังมองเห็นหน้ากันไม่ถนัด แต่ว่ามันดีกว่ามืด ถ้ามืดตื้อเสียทีเดียวจะมองไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าสางเห็นบ้างลาง ๆ แต่ไม่ชัดเจน เห็นคนรู้ว่าเป็นคน แต่ยังไม่รู้ว่าหน้าเป็นอย่างไร ขาวหรือดำ ผมหงอกหรือผมดำก็ไม่ทราบ นี่เปรียบเทียบกันให้ฟัง ชะตาประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ถ้าปี ๒๔ จะเริ่มเข้าเกณฑ์บอกว่า ประเทศไทยต่อไปนี้จะไม่ยากจนนัก

ท่านก็ทรงถามต่อไป ถามถึงว่าอะไรมันจะมีขึ้นมาบ้าง มันจะดีขึ้นมายังไง ?

ผมก็จำชัดไม่ได้ ถ้าหากว่าต้องการจะทราบชัด ให้อ่านหนังสือพระเมตตา เพราะตอนนั้นเขียนระยะใกล้ ๆ ทูลไปอะไรได้บ้างก็ไม่ทราบ แต่พูดเรื่องถึงน้ำมัน ว่ามีแร่ธาตุและน้ำมัน

แต่ทว่าวันนี้จะไปถึงไหนกันล่ะ ก็ต้องหยุดกันแค่นี้ก่อนเพราะสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้วนี่ ถ้าขืนพูดไปเทปมันก็เลยหน้าไป ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน


สวัสดี



แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก