วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๗ เมื่อผมตาย

ตายครั้งที่ ๑

พุทธบริษัททั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คาสเซทชุดนี้เป็นคาสเซทชุดเล่าถึงความเป็นมาของความตาย

ความจริงผมตายจริง ๆ และก็เกือบตาย รวมแล้วทั้งหมด ๙ ครั้ง คำว่าเกือบตายนี่ก็หมายความว่าหมดความรู้สึกภายนอกแล้วเหมือนกัน แต่ว่าจิตไม่ได้ไปไหนสำหรับการตายจริง ๆ นั้น จิตท่องเที่ยวไป ออกไปแล้วแต่เขาไล่กลับ

ที่นำเรื่องความตายมาพูดวันนี้ หรือคราวนี้ก็มิได้หมายความว่าจะโชว์ฟอร์มของความตาย "ความจริงจะได้ทราบว่าลักษณะการตาย ความรู้สึกจริง ๆ เป็นอย่างไร" แต่คงไม่เหมือนกันทุกคน เพราะผมจะตายเองจริง ๆ ก็มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส แต่การตายนี่จะตายได้เพราะทุกขเวทนามาก ถ้ามันไม่มากจริง ๆ ประสาททุกส่วนก็ยังทำงาน ถ้าประสาททุกส่วนยังทำงานอยู่มันก็ยังไม่ตายหรือว่าประสาทบางส่วนหยุดการทำงาน แต่ว่าลักษณะของลมหายใจเข้าออกอาการนั้นยังมีอยู่ก็ยังไม่ตาย คือความตายจริง ๆ ก็ต้องสิ้นลมปราณ คือลมหายใจเข้าออก

(ผมก็ลืมบอกไปว่าวันนี้ คือ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็นวันที่บันทึกเสียงจะได้ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร)
แล้วสำหรับเรื่องของความตายนี่มันมีมาก หนังสือเล่มนี้ถ้าเป็นหนังสือนะ (เพราะว่าการบันทึกนี่ให้เขาทำหนังสือออกด้วย เพราะว่าคนที่ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงและต้องการจะเก็บก็จะเก็บไว้ได้นาน) แล้วอีกประการหนึ่งนี่ความตายมีมากการบันทึกอย่างนี้ก็หมายความว่าอีก ๒ คาสเซท ทั้งคาสเซทนี้ด้วย แต่ต้องจบหนังสือเล่มแรก หนังสือเล่มแรกนี่ความตายไม่จบจะต้องติดไปหนังสือเล่มที่ ๒ เพราะเกรงว่าหนังสือจะโตเกินไปแบ่งเป็นเล่ม ๆ ท่านที่มีสตางค์น้อยจะได้มีโอกาสซื้อ และก็เล่มต่อไปก็จะพูดถึงความตาย

เมื่อความตายจบก็จะนำ จริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางส่วนที่พบมาพูดถึงความดีของท่าน และความลำบากของท่าน ความเหน็ดเหนื่อยของท่านมาเล่าสู่บรรดาพี่น้องพุทธบริษัทฟัง จะได้ทราบตามความเป็นจริง

บางท่านก็กล่าวว่ามีบุคคลบางกลุ่มอยากจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ผมก็ยังคิดว่าประเทศไทยยังมีความจำเป็นของสถาบันกษัตริย์อยู่ ในด้านกษัตริย์ที่มีอยู่ในเวลานี้ก็ไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญใครเลย มีอย่างเดียวบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่บรรดาประชาชน ถ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแทนจะเหมือนหรือไม่เหมือน คงเหมือนกันไม่ได้เพราะคนละคน ถ้าเหมือนไม่ได้จะเหมือนในด้านดีหรือว่าในด้านเลว สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ไม่แสดงความเลวแก่ประชาชน ถ้าเอาความเลวมาใช้ก็แสดงว่านอกทางไปแล้ว ไม่ใช่ ไม่ใช่ประทานความเป็นอยู่ของปวงชนชาวไทย แต่กระนั้นความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมมาพูดความตายของผมดีกว่า

ความตายวาระที่ ๑ จริง ๆ นี่ขอรับ ขอได้โปรดทราบ ผมเองก็ยังไม่ทราบอะไรมาก เพราะเวลานั้นผมเองอายุ ๒ ปีเศษ ๆ เข้า ๓ ปี แต่อย่าลืมว่าตั้งแต่อายุปี เศษ ๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็มีเกณฑ์แนะนำเกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า "พุทโธ" แต่การสอนภาวนาว่า "พุทโธ" ของท่านก็ไม่ต้องใช้พิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" ถ้าทำอย่างนั้นเรื่องของเด็ก ๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า "พุทโธ" ก่อนจะหลับจะต้องภาวนาให้ท่านได้ยินว่าง่าย ๆ ก็คือว่าให้ท่านได้ยินว่า "พุทโธ" "พุทโธ" "พุทโธ" เพียงเท่านี้ท่านให้หลับได้ ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า "พุทโธ" ให้ท่านได้ยิน ๓ คำไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า "พุทโธ" ตามเดิม

และก็เด็ก ๆ นี่บรรดาท่านทั้งหลายโปรดทราบ นิวรณ์ยังไม่มี คำว่านิวรณ์ คือนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

ความรักในระหว่างเพศยังไม่มี

อารมณ์ความโกรธคิดจะฆ่าใครก็ยังไม่มี

ไอ้ความง่วงมีแน่แต่เราใช้เวลาไม่นานก็ยังไม่ถึงง่วง ถึงง่วงแล้วท่านก็ให้ว่า

และก็การมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไปอย่างผู้ใหญ่ เด็กก็ไม่มี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กไม่ค่อยจะสงสัยอะไร ผู้ใหญ่ให้ว่าอย่างไรก็ว่าไปตามท่าน จะว่าแบบนกแก้วนกขุนทองก็ไม่เป็นไร


แต่นี่สมมุติว่า ถ้าว่าพูดแบบนกแก้วนกขุนทองจะมีผลไหม ก็ต้องตอบว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสในเรื่อง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร ว่าคนนึกถึงชื่อท่านอย่างเดียวไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็ทรงยืนยันว่าตายจากความเป็นคนไปเป็นเทวดานับไม่ถ้วน นับเป็นโกฏิ ๆ (วันนี้ผมก็เป็นหวัด)

เวลานั้นท่านแม่บอกว่าให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก็เป็นความดี แต่ผมเป็นเด็กก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ก็ภาวนาอย่างนั้นมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทั้งวัน เอากันแค่เวลาจะนอน พอแค่เวลาจะนอนก็ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้ได้ยิน คำภาวนาว่า "พุทโธ" ของเด็กผมคิดว่าคงไม่สนใจความเป็นพระของพระพุทธเจ้าเลย ว่าตามเกณฑ์บังคับเท่านั้น

คราวนี้มาว่ากันถึงผล พออายุ ๒ ปีเศษ ๆ ใกล้จะถึง ๓ ปีผมป่วยฉับพลัน นั่นก็คือโรคท้องร่วง ไอ้โรคนี้ผมทราบ ทราบจากพระท่านบอกว่าผมต้องตายเพราะโรคนี้ โรคทางท้องจะร่วงหรือไม่ร่วง เวลานี้มันไม่ค่อยจะร่วง เวลานี้ขี้ไม่ออก มันไม่ค่อยจะร่วงมากกว่า คือไม่พยายามจะออก เมื่อก่อนนี้ร่วงบ่อย เดี๋ยวนี้ไม่ร่วงแล้ว ก็ทางท้องเหมือนกันมันถ่ายไม่ไหว มันถ่ายไม่ออกต้องใช้ยาระบายเป็นปกติ ฉะนั้นเวลานี้ผมจึงป่วยไข้ไม่สบาย

แต่ว่าการป่วยไข้ไม่สบายกับธรรมะนี่ผมก็ถือว่าผมต้องสู้ ถ้าเพื่อธรรมะแล้ว ผมต้องสู้จนกว่าจะสิ้นชีวิต แต่เรื่องอื่นไม่แน่ ผมไม่สู้ใครเพราะแรงไม่มี การมาพูดนี่ก็พูดกันในขณะที่ยังป่วยไข้ไม่สบาย วันนี้ก็ยังเดินโซซัดโซเซ หลังจากเลิกจากการรับแขก ลุกขึ้นมามันมึนใกล้จะล้ม แต่ก็ไม่เป็นไร ตั้งใจว่าวันนี้จะบันทึกให้จบเล่มที่ ๑ คือครบ ๑๐ คาสเซท

เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้น ท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุกมารักษา ท่านลุงนี่เป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ ท่านมีความเข้าใจทั้ง ๒ อย่าง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาแต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดผมก็จะต้องตาย การตายคราวนั้นก็มีญาติอยู่เยอะ มีท่านย่าอยู่ด้วย มาพยาบาล

และท่านย่าของผมก็ดี ท่านยายก็ดี ทั้ง ๒ คนนี่ปกตินินทาคนไม่เป็นและก็ทรงศีล ๕ อยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะท่านย่า ใช้คำภาวนาโดยท่านมีลูกประคำ คือมีลูกประคำชักอยู่เรื่อย ๆ เวลาท่านจะตายคือผมเป็นเด็กโตแล้วท่านนั่งชักลูกประคำไปครึ่งพวงท่านก็ตาย แล้วหันหลังพิงฝา แสดงว่าจริยาของท่านในด้านธัมมะธัมโมท่านดีมาก เมื่อผมตายเข้าจริง ๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน

มันเป็นเวลาเย็นแล้วใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ผมรู้นี่ท่านพ่อกับท่านแม่ท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านกลับไปบ้าน ท่านก็อาบน้ำอาบท่านแต่งกายแต่งตัวแล้ว ก็หวังว่าจะกินข้าวเย็นให้มันอิ่ม อิ่มแล้วจะกลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จ ก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื้อมาบ้านทันที บ้านไม่ไกลกัน

เป็นอันว่าบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจไม่เคยเห็นจริยาของย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมา มีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจเพราะผมตาย แต่ว่าเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ทุกคนไม่เคยเห็น ต่างคนตามมาแล้วท่านย่าขึ้นมาบนบ้าน มาถึงแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ ปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ ไปที่ไหนเห็นแต่ท่านนั่งพับเพียบเป็นปกติ และการนั่งพับเพียบท่านก็ไม่ค่อยจะพลิก บางทีตั้งครึ่งวันค่อนวัน ท่านนั่งพับเพียบด้านขวาก็ขวาซ้ายก็ซ้ายไม่พลิกอีก


วันนั้นท่านขึ้นมา ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าท่านนั่งขัดสมาธิ ๒ ชั้นแล้วก็ถามว่า "ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย?"

ท่านพ่อบอกว่า "คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว"

เสียงท่านลักษณะผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย แล้วพูดจาห้าวหาญบอกลักษณะผู้ชายชัด เมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกอย่างนั้น ท่านก็บอก

"กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ ?"

ก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า "ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือโรคไม่หนักหนา ?"

ท่านลุงก็บอกว่า "เกินวิสัยของผมแล้วครับเป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้"

ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง"

ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง"

ในที่สุดท่านก็ทำน้ำมนต์ หลังจากทำน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า "เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ ๆ ข้า"
เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งพร้อมกับเป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ๓ ครั้ง พอ ๓ ครั้ง ท่านก็อมน้ำตั้งใจเงียบ ๆ ประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ

พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้นขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่า เด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่าง ๆ ที่เป็นหายหมด

หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าถ้าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา

แล้วท่านก็มองหน้ามาที่เด็กเรียกเข้ามาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ ๆ ให้หันหน้ามาว่า "เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้น หรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า"

เวลานั้นกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ผมนะ ผมเองนี้ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็น เด็ก ๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ พอนั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้ กลัว นี่ความรู้ ตอนนี้รู้ตัว

สำหรับไอ้สุนัขนี่ผู้ใหญ่เขาหลอกหมาบ้าจะกัด หมาบ้าจะกัด ก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก ๒ กลัวนี่ท่านไม่รู้ใจ หลังจากนั้นท่านก็ลาไป

เมื่อลาไปแล้วตามปกติของผมเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่พี่ท่านไปข้างล่าง ท่านบอก

"อยู่ข้างบนนี่นะอย่าไปไหนเลย และก็อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุน จะเจ็บ"

ตั้งแต่ตอนเด็กมา คำสั่งผมถือว่าเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ผู้ใหญ่อาจจะเห็นเป็นโรคมายาก็ได้ ทำอย่างไร ท่านสั่งไม่ได้ลงก็ต้องไม่ลง ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี จะตีหรือไม่ตีก็ยังไม่แน่ ในที่สุดก็แก้ไขช่วยปัญหาตนเองนึกถึง ท่านพระอินทร์ ว่า

"ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว"

นึกปั๊บเห็นท่านทันที ท่านมาในลักษณะที่เราเข้าใจ เราเข้าใจกันว่า พระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียว ๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า

"ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้"

และในการบางครั้งท่านก็มีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า

"พ่อต้องรีบกลับ แต่คนนี้จะช่วยลูก"

คนนี้ก็คือมี ๒ คน ครั้งแรกมีผู้หญิงสาว และก็สวย สวยก็ไม่สวยเปล่า ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอก

"คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติ เพราะเป็นชายาของพ่อ คือเป็นเมียพ่อนั่นเอง แล้วคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน เขาจะช่วยสงเคราะห์ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระให้แม่กับพี่มา"

ผมก็มีความสุข ถ้าหากท่านพ่อกลับ ท่านแม่กับท่านพี่ก็มาอยู่ก็คุยกันแบบคนธรรมดา ผมก็ชอบสวย ๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า

"นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม" ท่านก็ชวนคุย ผมก็มีความเพลิดเพลิน ผมก็มีความสุข

แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก พอจับไปนอนตักรู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มาก และมีความอบอุ่นเป็นพิเศษท่านลูบไปลูบมา ประเดี๋ยวเดียวผมก็หลับ นี่เรื่องของเทวานุภาพ

และวันต่อ ๆ มา บางครั้งบางทีผมอยู่คนเดียว ก็มีความรู้สึกว่ามีลุงคนหนึ่ง ลุงในชาตินี้ท่านตายไปแล้ว คือลุงคนนี้ก่อนที่ท่านจะตาย เมื่อมีชีวิตท่านรักผมมาก และก็เคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า "คนนี้เป็นลูกของฉัน" ท่านไม่มีลูก ท่านพ่อกับท่านแม่ก็อนุญาตขอยกให้เป็นลูก ฉะนั้นในเมื่อท่านตายก็เข้าใจว่าทรัพย์สินบางส่วนอาจจะตกถึงผมก็ได้ และทรัพย์สินส่วนนั้นอาจจะมีอยู่ถึงเวลานี้ก็ได้ ผมเข้าใจว่า "อาจจะ" นะ ก็เป็นอันว่ามีความรู้สึกว่าท่านมานอนใกล้ ๆ

บางทีผมนั่งข้างนอก ท่านมานอนอยู่ในห้องเสียงกรนได้ยิน จำได้ว่า เป็นเสียงลุง กลิ่นตัวได้รับก็จำไม่ว่าเป็นกลิ่นตัวของท่านก็หมดความกลัว

ในเหตุการณ์บางขณะเวลาเดินไปไหน เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ลักษณะเดินชัด กลางวันมองก็ไม่เห็นตัว แต่บางครั้งตอนที่ผมโตไปแล้ว นี่เล่าถึงโตเลยนะ ถึงความเป็นหนุ่มแล้ว ก็มีลักษณะอย่างนั้น บางทีผมก็แกล้งบอกว่า "เอ้า เดินข้างหน้าบ้างซิ เดินข้างหลังอย่างเดียวไง" ก็มีลักษณะเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาไปเดินข้างหน้าแล้วก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง

บางคราวมีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะการคุยหัวเราะต่อกระซิกนี้เป็นลักษณะคล้าย ๆ กับว่าเป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัวความจริง ผมเป็นหนุ่มแล้วผมก็ยังหวาดกลัว แต่ลักษณะของผมเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าลงก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับจะไปไหนต้องไปให้ได้ มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนเดินบอกลักษณะว่ามีคนติดตามก็มีอยู่เสมอ

มีคราวหนึ่งผมเดินไป เดินไปเดินมาอยู่ เดินไปก็มีความหวาดอยู่นิดที่ตรงนั้นมันมืด และก็มีสุมทุมพุ่มไม้ ตอนนี้หนุ่มแล้วนะ พอเข้าเขตนั้นชัดไม่ไว้ใจ ตาก็มองจุดนั้น ไอ้มือหนึ่งก็ดึงปืนมาจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีด คิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน

ก็ผมคิดอย่างนั้นก็เสียงหัวเราะครืนทันที ลักษณะ ๖ คน แต่ถามว่า

"หัวเราะทำไม ใครมา ท่านแม่และท่านพี่หรือ?"
ก็เสียงตอบว่า "ไม่ใช่แม่และก็ไม่ใช่พี่" แต่เป็นเสียงผู้หญิงเสียงเพราะมาก ถามว่า "ใครล่ะ ?"
ท่านก็เลยตอบว่า "น้อง"

ถามว่า "น้องมีกี่คน?"
"น้องลักษณะอย่างนี้มีหลายพันคนบนดาวดึงส์"

ถามว่า "พ่อกับแม่ฉันสมัยนั้นมีลูกเป็นพัน ๆ หรือ...?"
ก็บอก "ไม่ใช่ เป็นลูกคนอื่นที่เอาทำน้อง"

ไม่เข้าใจถามว่า "มาทำน้องอย่างไร?"
ก็บอกว่า "ผู้ชายกับผู้หญิงถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงถือว่าเป็นน้องของผู้ชาย"

"ถ้าเช่นนั้นที่มานี่มาหมดไหม...?"
เขาบอก "มาไม่หมด มาแค่ ๖ คน"

ก็อยากจะดู ถามว่า "รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...?"

ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืด ๆ ก็เหมือนไฟฟ้าสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ร่างกายเธอแต่งตัวเป็นนางฟ้า ไม่ใช่คนแล้ว ถามว่า "สวยไหม...?" ก็ตอบว่า "สวย"

แล้วเขาถามว่า "สาว ๆ ที่เคยไปรักสวยเท่านี้ไหม...?"

ไม่มีใครแตะได้เลย สวยไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยถามต่อ หัวหน้าถามว่า "ถ้างั้นจะแต่งงานกับคนนี้ หรือจะแต่งงานกับสาว ๆ ในเมืองมนุษย์...?"

ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีโอกาสจะแต่งงานกับนางฟ้าได้ก็จะแต่ง"

ทีนี้ไอ้กำลังใจในตอนนั้นบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ความรู้สึกในการรักคนจางลง แต่ไม่หมด แต่ว่ามีความต้องการอย่างเดียวคือ อยากจะมีเมียเป็นนางฟ้า อารมณ์นี้มันขังมาจนกระทั่งในสมัยที่บวช เล่าเรื่องในสมัยหลวงพ่อปาน จึงปรากฏว่าอยากแต่งงานกับนางฟ้า จนกระทั่งเวลานี้ก็ไม่ได้แต่ง เวลานี้ถ้าชวนแต่งก็ไม่ไหวแล้ว เดินก็ไม่ไหว เพียงแค่นึกจะรักอารมณ์ก็ยังไม่ไหว มันเหนื่อยเพราะความแก่

รวมความว่า การตายครั้งแรกของผมนี่ ผมเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษาก็อาศัยคำภาวนา "พุทโธ" โดยไม่ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ ท่านบังคับหรือไม่บังคับ ลักษณะก็ต้องบังคับ แต่การบังคับของท่านเป็นประโยชน์ในเวลาที่ผมตาย ตายไปแล้วเกิดฟื้นใหม่ รู้จักเทวดา ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าเทวดามีจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ เทวดามี ผมเชื่อ

ความจริงเวลานั้นผมยังไม่เคยฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าเลย การรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ก็แถมเลยอยากจะแต่งงานกับนางฟ้าเสียด้วย นี่เป็นไปมากเหมือนกัน แต่ความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีกิเลส

ก็รวมความว่า การตายคราวนี้ประโยชน์ใหญ่ก็คือ รู้จักเทวดา รู้จักนางฟ้า ไม่สงสัย เวลาที่มาเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เกิดไม่มีความสงสัยในเรื่องเทวดา เรื่องนางฟ้า เพราะยืนยันได้ว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นมาแล้ว

นอกจากนั้นอานุภาพของเทวดาและนางฟ้ายังมีอีก ผมจะเล่าไปมันยาวยืดยาด ก็เลยเล่าไว้ในหนังสือหลวงพ่อปานว่า ท่านย่า ต่อมาตาท่านไม่เห็นเลย

ในเวลานั้นผมก็โตอายุ ๖-๗ ขวบ ก็ปรากฏว่าวันหนึ่งได้ยินเสียงตอนเช้ามืด ย่าท่านชื่อนาค

"นาคเอ๋ย นาค น้ำมนต์พ่อทำไว้บนหัวนอนนะ" ขันล้างหน้าที่จัดให้ท่านเสียงบอกทำเป็นน้ำมนต์
ท่านย่าถามว่า "เสียงใครเจ้าข้า?"
บอกว่า "พ่อคือพระอินทร์ เอาล้างหน้า ๓ วัน ตาจะหายเป็นปกติ"

แล้วก็เป็นความจริง ท่านย่านี่ตาไม่เห็นจริง ๆ แม้แต่มือไปส่องตรงกลางข้างตาท่านก็ยังไม่เห็น ท่านล้างหน้าวันแรก ก่อนล้างท่านก็ว่าอะไรพึมพำ ๆ ผมก็ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ล้างหน้า พอตอนสาย ๆ เขานำอาหารมาให้ ท่านถาม

"นี่กะละมังข้าวใช่ไหมลูก...?" ก็บอกว่า "ใช่"
"อันนี้ชามข้าวใช่ไหม...?" ก็บอกว่า "ใช่"
"อันนี้ขันน้ำใช่ไหม...?" "ใช่"
"นี่สำหรับกับข้าวใช่ไหม...?" "ใช่"
ท่านก็นั่งมองเดี๋ยว ถาม "นี่แกงใช่ไหม?" "นี่น้ำพริกใช่ไหม?" นี่ปลาร้าใช่ไหม?"

ถามเรื่อยไป ถูกต้องหมด ท่านเลยบอกน้ำมนต์ของพระอินทร์นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ย่าไม่เคยเห็นเลย พอวันที่ ๒ ล้างอีกครั้ง ท่านก็เรียกแบบนั้น ๓ วัน ตอนนี้ท่านย่าเห็นหมด อะไร ๆ ก็เห็นหมด หมายความว่าเขานำอาหารมาจากในครัวท่านก็ว่า เออ ลูกคนนั้น หลานคนนี้ เดี๋ยวท่านรู้จัก พอวันที่ ๓ ไกลแสนไกลสายตาเราถึงไหน ท่านมองไปถึงนั่น

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เรื่องเทวานุภาพมันไม่จำกัดของความดี เราจะไปจำกัดเขตของความดีของเทวานุภาพไม่ได้ อานุภาพท่านเหนือพวกเรามาก

ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่นั่งฟังและเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คำว่าภาวนาว่า "พุทโธ" และการนึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าศึกษามาแล้ว ตามพระธรรมบทหนังสืออื่นก็ตาม จงอย่าคิดว่าเป็นการล้อเล่นของบรรดาพระทั้งหลายที่ท่านรจนาไว้ แต่นี่การหลอกลวงคนจงอย่าคิดว่าพระสูตรไม่มีผล แต่ความจริงพระสูตรนี่องค์สมเด็จพระทศพลสอนคนเป็นอรหันต์นับไม่ถ้วน ชาดกต่าง ๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงเล่าจบ ปรากฏมีมากท่านด้วยกันที่บรรลุอรหัตผล

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เป็นอันว่าการตายครั้งที่ ๑ ประโยชน์ที่จะพึงได้จริง ๆ หนึ่งผมรู้จักพระอินทร์ และทราบว่าพระอินทร์เคยเป็นพ่อมาในชาติก่อน เวลานึกถึงความกลัวขึ้นมา นึกถึงท่านเมื่อไร ท่านปรากฏกายให้เห็นทันที นอกจากนี้รู้จักแม่ในอดีตชาติ หลายแสนชาติมาแล้ว รู้จักพี่ รู้จักน้อง แต่น้องนี่ไม่ใช่ลูกแม่ เป็นลูกของแม่อื่นที่มาสมัครเป็นน้อง หรือว่าไปขอเขามาเป็นน้อง แต่น้องประเภทนี้ไม่ใช่น้องปกติ น้องสามารถที่จะมีลูกทดแทนตัวได้

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่าหนังสือฉบับนี้ก็จะจบลงตอนนี้ อ่านไปประมาณสัก ๒ ชั่วโมงก็จบ อ่านช้า ๆ นะ จบแล้วเรื่องราวของความตายก็ยังไม่จล ต้องคืบหน้าไปหาเล่มที่ ๒ ต่อไป เพราะจะทำต่อไปเกรงว่าเล่มจะใหญ่เกินไป จะหนักใจคนซื้อ เพราะทางวัดไม่ต้องการกำไร ต้องการอย่างเดียวคือเงินหมุนเวียนได้ก็พอ

เมื่อสัญญาณบอกหมดเวลาแล้วก็ดี ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาภิกษุสามเณรที่รักทุกท่าน
 

สวัสดี






บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก