วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑ ผมเลวมาก

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังนั่งฟังอยู่เวลานี้ วันนี้ก็มาคุยกันถึงความรู้สึกตามความเป็นจริง ความจริงได้บันทึกไปแล้วคาสเซทก่อนแต่ต้องลบทิ้งไป เพราะรู้สึกว่าพูดตรงตามความรู้สึกที่เป็นความจริงเกินไป ที่ว่าเกินไป ก็เพราะว่าพูดตรง ๆ ก็เลยสงสัยว่าบรรดาท่านผู้ฟังถ้ามีขันติก็ดีอยู่ ถ้ามีขันติไม่ดีก็จะเกิดสร้างความโกรธแค้นขึ้นมาก็จะเป็นการลำบาก เพราะว่าเวลานี้ปรากฏว่าภาวะของประเทศ (ที่พูดนี่เป็นวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๗) เพราะว่าเวลานี้ ปรากฏว่าตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหวมาก เนื่องจากทางราชการจับบุคคลที่กล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ข้อเท็จจริงนี้จะเป็นประการใดก็เป็นเรื่องของทางราชการ ซึ่งเป็นเหตุผลของแต่ละฝ่าย แต่ฝ่ายพระน่ะไม่เกี่ยว แม้ความจริงพระไม่เกี่ยวแต่เมื่อพูดเรื่องของพระตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าคนอีกกลุ่มหนึ่งเกิดการไม่พอใจบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง คณะใดคณะหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับการจับกุม เป็นเรื่องของทางพระศาสนา ก็จะกลายเป็นว่าผมเป็นปัจจัยสร้างความแตกแยกของบุคคลขึ้นในพระศาสนา ทางบ้านเมืองเขากำลังทะเลาะกัน เราทางศาสนาก็เริ่มจะทะเลาะกันอีก ก็เป็นการไม่ดี


ฉะนั้นขอเปลี่ยนลีลาเสียใหม่ ซึ่งก็ขอพูดตามความเป็นจริงเหมือนกันแต่งดอาการเครียดที่ผ่านมาเสีย

วันนี้ก็ขอปรารภเรื่องมโนมยิทธิ

คำว่า มโนมยิทธิ นี่แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ บรรดาท่านพุทธบริษัทและญาติโยมที่นั่งอยู่นี่ทุกคนทำได้แล้วทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่เข้ามาบวชในวัดนี้ต้องทำได้ก่อน เมื่อทำได้แล้วก็พยายามอย่าให้เสื่อมเสีย ถ้าปล่อยให้เสื่อมจะถือว่าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า เพราะว่าความรู้นี้เป็นของพระพุทธเจ้า

หากว่าจะมีใครถามว่าทำไมจะต้องสอนมโนมยิทธิ ซึ่งก็มีคนหลายกลุ่มหลายคน หลายคนนี่ความจริงเขาไม่ได้พูดที่อื่นบางคนก็มาพูดใส่หน้าผมเองว่าสอนคนนอกรีตนอกรอย ไม่เป็นเรื่อง ไอ้คำว่าสอนนอกรีตนอกรอยนี่บางทีเขาจะคิดว่าผมเป็นแบบพระกปิลภิกขุที่ในพระวินัยท่านบอกว่าตายจากความเป็นคนไปเกิดในอเวจีมหานรก และก็พาโยมแม่กับน้องสาวลงอเวจีมหานรกด้วย เฉพาะท่านกปิละเมื่อลงอเวจีแล้วพ้นขึ้นมาเป็นปลามีเกล็ดสีทอง พอพระพุทธเจ้าถามตามความเป็นจริงก็เสียใจ เอาหัวตีข้างเรือตายแล้วไปเกิดในอเวจีมหานรกใหม่

ความจริงผมไม่ได้หนักใจแบบท่านกปิละ เพราะว่าความรู้นี้เป็นของพระพุทธเจ้าที่ให้ไว้ ถ้าท่านผู้ใดเห็นว่าไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราวก็จงคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เป็นเรื่องด้วยก็แล้วกัน ที่กล่าวนี่ผมไม่ได้ประณามพระพุทธเจ้า แต่ว่าเมื่อท่านทั้งหลายเห็นว่า ความรู้ของพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้ก็แสดงว่าท่านผู้นั้นไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของท่านผู้นั้น ผมปฏิบัติตามไม่ได้


และมีบางท่านเห็นว่าเป็นการสะกดจิตบ้าง ความจริงการสะกดจิตต้องเป็นเหมือนกันหมด ทำอะไรเหมือนกันหมด รู้อะไรเหมือนกันหมด ต้องทำได้เหมือนกันทุกอย่างเพราะถูกจิตบังคับ แต่ทว่าการที่มาฝึกนี่ทุกคนไม่ใช่จะได้เหมือนกันหมด บางคนวันเดียวได้ บางคน ๒ วันได้ บางคนถึง ๓ วันได้ แต่ก็มีบางรายที่ ๔ วันได้

และมีบางท่านบอกว่าเป็นโอภาส (แสงสว่าง) อันนี้ก็ไม่ถูก คำว่า โอภาส เป็นแสงสว่างเฉย ๆ เป็นผลของการเจริญสมถภาวนาบวกวิปัสสนาภาวนา ถ้าหลับตาไปแล้วจะเห็นแสงสว่างทั้งข้างหน้าข้างหลัง ข้างล่างข้างบน อันนี้ผมเคยผ่านมาแล้ว ก็ไม่ใช่มโนมยิทธิ

บางท่านบอกว่าเป็นอุปาทาน คำว่า อุปาทาน แปลว่ายึดมั่นถือมั่น จะต้องรู้อยู่ก่อน คิดไว้ก่อนว่าภาพนั้นภาพนี้เป็นอย่างไร แล้วก็ไปเจอแบบนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นอุปาทาน คือยึดถือภาพไม่ยอมปล่อย จะต้องเป็นเหมือนที่ฉันเห็นมาก่อนจึงจะถูกต้อง อันนี้ก็ไม่ใช่อีก

ที่ผมพูดอย่างนี้นะขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็จงอย่าไปโกรธผู้พูด ท่านพูดเพราะท่านเข้าใจผิด ท่านไม่ได้เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน ก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าคิดว่าทำไมจึงไม่ศึกษา ก็ต้องนึกถึงตัวเราเอง ท่านก็ดี ผมก็ดี คุณก็ดี ญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี เดิมทีเดียวเราก็เชื่อนรก สวรรค์ แต่ว่าเราไม่เคยเห็นนรก สวรรค์ (ขอโทษตอนนี้ต้องกินน้ำ วันนี้ป่วย อาการป่วย เครียดมาก เดินก็งง นั่งก็งง แต่ก็เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อความดีของญาติโยมพุทธบริษัทก็ทำ) เป็นอันว่าเราก็มาพูดตามเรื่องของเรา ที่เมื่อกี้กินน้ำเอื๊อกเดียวหายไปเลย ผมไม่มีหนังสือ ผมไม่ได้ถือหนังสือมา

ทีนี้ความรู้สึกของผมมีอย่างหนึ่งคือว่ามีความรู้สึกว่า ผมนี่เลวมาก

ในสมัยก่อน สมัยยังเป็นเด็ก เรื่องนรก เรื่องเทวดานี่ผมพบมาก่อน ผมเชื่อ เพราะทุกอย่างถ้าผมไม่พบมาก่อนนี่ผมไม่เชื่อ ผมเป็นคนประเภทที่เรียกว่าไม่ยอมเชื่อลอย ๆ จะต้องมีเหตุมีผลมีประสบการณ์เอง และที่มีเหตุมีผลแล้วผมก็ยังไม่เชื่อ ต้องชนเอง ต่อมาเมื่อผมเป็นพระผมเรียนนักธรรม เรียนบาลี ผมได้พยายามพูดให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเข้าใจเรื่องนรก สวรรค์ ท่านเชื่อแต่ก็ไม่หมดการแคลงใจ ต่อมาเป็นนักเทศน์ เทศน์เท่าไรญาติโยมก็ไม่หมดการแคลงใจ จึงมีความรู้สึกว่าเราเลวเหลือเกิน ที่กินข้าวของญาติโยม ผ้าผ่อนท่อนสไบที่ใช้ญาติโยมก็ให้ สถานที่อยู่ญาติโยมก็หาให้ การป่วยไข้ไม่สบายญาติโยมก็หายารักษาโรคให้ หาหมอมาให้ แต่ว่าเราไม่สามารถสนองความดีของญาติโยมได้ตามความเป็นจริง ไม่สามารถจะเปลื้องอารมณ์ของญาติโยมได้ ผมจึงมีความรู้สึกว่าผมเลวมาก ทั้ง ๆ ที่ความรู้นี้มีอยู่

จึงได้มาปรารภว่าความรู้ขององค์สมเด็จพระบรมครู คือพระพุทธเจ้าความรู้ที่พระพุทธองค์สอนไว้ที่บรรดาพระโบราณจารย์ คือท่านพระพุทธโฆษาจารย์ท่านอยู่เมืองสะเทิม หรือเมืองสุธรรมวดี ท่านกรุณาเขียนวิสุทธิมรรคตอนที่จะไปแปลพระไตรปิฏกให้บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นตรวจน่ะ (ถ้าวิสุทธิมรรคเขียนไม่ถูกต้องเขาไม่ยอมให้แปลพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ) ท่านก็พยายามเขียน เมื่อเขียนแล้วพระอรหันต์ท่านตรวจว่าถูกต้อง จึงได้ยอมให้แปลพระไตรปิฎก ผมก็มีความมั่นใจว่า ในฐานะที่พระพุทธโฆษาจารย์แห่งเมืองสุธรรมวดีท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ และบรรดาพระที่ประเทศลังกาสมัยนั้นซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบท่านก็เป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น ความรู้ที่พระพุทธโฆษาจารย์รจนาไว้ต้องไม่ผิด คณะสงฆ์จึงยกเป็นปกรณ์พิเศษ เป็นหลักสูตรของเปรียญ ๘ ประโยค

แต่ทว่าถ้าถือในวิสุทธิมรรคจริง ๆ แล้วผมปฏิบัติมาตามสายนั้น ใช้เวลามากจริง ๆ ผมบวชมาแล้วใช้เวลาเกีอบ ๒ เดือนจึงสามารถทำวิชานี้ได้ ที่ทำได้ท่านอย่างถือว่าเป็นคนวิเศษวิโสนะ ความรู้ที่ผมนำมาสอนพวกท่านก็ดี หรือที่ผมทรงไว้ได้ก็ดี มันเป็นความรู้แบบเป็ด ๆ เป็นเศษความสามารถของพระอรหันต์ทั้งหลายท่าน แต่เราก็สามารถจะรู้จักสวรรค์นรกกันได้ก็ยังดี

แต่ว่าในวิสุทธิมรรคที่พระพุทธโฆษาจารย์ท่านรจนาไว้ว่า "บุคคลผู้ใดถ้าเคยทำได้แล้วในชาติก่อน.." อย่างทิพจักขุญาณเป็นต้น ท่านบอกว่า "ไม่ต้องตั้งท่าตั้งทางทำกสิณ เพียงเห็นแสงสว่างจากช่องฝาที่ลอดมา เมื่อจับแสงสว่างเป็นอาโลกสิณก็สามารถได้ทิพจักขุญาณได้"

ผมก็มาคำนึงถึงเรื่องนี้ว่า คนที่เกิดมาที่ดีก็มีมาก ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า คนมี ๔ เหล่า คือ

๑. อุคฆฏิตัญญู มีกำลังใจเต็มพร้อมในการปฏิบัติ พร้อมจะได้มีความสามารถ ท่านประเภทนี้ฟังคำสอนเพียงหัวข้อเท่านั้น ก็เข้าใจและปฏิบัติได้ทันทีทันใด

๒. วิปจิตัญญู ประเภทนี้มีกำลังใจดี แต่ความฉลาดน้อยไปนิดหนึ่ง ฉลาดน้อยกว่าพวกแรก จะแนะนำแต่เพียงหัวข้อไม่เข้าใจ ต้องอธิบายจึงจะเข้าใจและทำได้
3. เนยยะ ท่านผู้นี้มีกำลังความดีพอสมควร และสามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่จะต้องปลุกปล้ำกันหน่อยจึงจะเข้าใจ ถ้าจะสอนแบบผ่านไปผ่านมา อันนี้ไม่เข้าใจ จะต้องจ้ำจี้จ้ำไช ซ้ำแซะกัน

4. ปทปรมะ พวกนี้ไม่มีเหตุไม่มีผล เป็นคนไม่เอาไหน ประเภทที่เรียกว่า "สอนเท่าไรไม่รู้จักจำ"
สอนเท่าไรก็ไม่มีผล เพราะอกุศลคอยครอบงำมาก คนประเภทนี้พระพุทธเจ้าทรงหลีก

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมปรารภอย่างนี้ ซึ่งก็ปรากฏว่าพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรสมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่ พระองค์พูดไม่กี่คำ ใช้เวลาไม่นาน คนก็บรรลุมรรคผลมีอยู่ และเมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูนิพพานไปแล้ว บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็พูดหน่อยเดียว คนก็บรรลุมรรคผล แสดงว่าความรู้ที่องค์สมเด็จพระบรมครูสอนไว้ต้องมีง่าย ๆ ง่ายกว่าที่ผมศึกษามา ผมจึงได้พยายามค้นคว้า ค้นคว้าน่ะไม่ใช่ปัญญาของผมเองนะครับ ต้องถือว่าค้นคว้าหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเมื่อพบแล้วประมาณ ๔๐ อย่างเศษและลองมาปฏิบัติก็รู้สึกว่าผมเคยฝึกมาแล้วใช้เวลาถึง ๗ วัน ถ้าเป็นชาวบ้านมีเวลา ๗ วันเขาไม่ไหว เป็นพระใช้เวลา ๗ วัน บางทีชาวบ้านอาจจะต้องใช้เวลาถึง ๗ เดือน เพราะชาวบ้านไม่มีเวลาทำแน่

ผมจึงมาคิดว่าจะต้องหาความรู้ที่ง่ายที่สุด และมีผลสม่ำเสมอกันจึงไปได้ หลักสูตรนี้มา กว่าจะได้หลักสูตรนี้มาต้องใช้เวลา ๒๓ ปีนะ หลักสูตรหาได้แล้วก็ต้องหาบุคคลที่ทำได้ด้วย คนที่ทำได้ต้องมี และก็ต้องลองฝึกดูเป็นเครื่องพิสูจน์ ความรู้ดังกล่าวนี้ผมไปได้มาจาก "อาจารย์สุข" ซึ่งท่านเป็นฆราวาส

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรแปลกใจไหมครับ ที่ผมยอมตัวไปเป็นลูกศิษย์ฆราวาส ท่านอาจจะแปลกใจถ้าท่านมีมานะทิฐิ ถ้ามีมานะถือตัวถือตนละก็ท่านแปลกใจแน่ คิดว่าพระไม่ควรจะน้อมตนไปเป็นลูกศิษย์ฆราวาส แต่ว่าคนอย่างผมซะอย่าง ผมยังไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนดี ยังมีความรู้สึกว่าผมเลว และก็ผมโง่ ทั้งนี้เพราะอะไร ผมโง่จริง ๆ ผมกินข้าวที่ญาติโยมเลี้ยง สถานที่อยู่อาศัยญาติโยมหาให้ ผ้าผ่อนท่อนสไบญาติโยมให้ ยารักษาโรค หมอรักษาโรค โยมก็ให้ แต่ว่าผมเป็นคนจัญไร ไม่สามารถจะสนองกำลังใจของญาติโยมให้เข้าใจสวรรค์ นรก จริง ๆ ได้ ฉะนั้น ผมถือว่าในเมื่อผมยังเลวอยู่ ถ้าใครเขาดีกว่าผม ผมก็ยอมรับท่านเป็นครู ผมเคยรับคำแนะนำของเด็กอายุแค่ ๑๒ ปีเธอให้เหตุให้ผลนี่ผมเชื่อ และเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ใครเป็นลูก
ศิษย์ผมเอง

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร นิสัยผมเป็นอย่างนี้ แต่ทว่าถ้าใครมาเบ่ง อวดเลว ไม่ใช่อวดดีนะ อันนี้ผมยอมไม่ได้ คำว่ายอมไม่ได้ไม่ใช่หมายความว่าจะไปชวนตีกับเขา ผมก็ไม่ยอมรับคำแนะนำของเขา คนผู้นั้นต้องมาแบบดี มาตามลีลาของพระพุทธเจ้า อันนี้ผมยอมรับ ฉะนั้นความรู้นี้ต้องถือว่าเป็นประวัติส่วนหนึ่งของผม


ขณะที่ผมไปพบท่านอาจารย์สุข มันเป็นการบังเอิญจริง ๆ ครับ เอายังงี้ก็แล้วกัน อาจารย์สุขเวลานั้นท่านก็ดื่มเหล้า เป็นเรื่องแปลก คนที่กินเหล้าวงเดียวกันนั่นแหละเกิดท้าทายกันขึ้น บอกว่า
"ไอ้สุข" (ขอประทานอภัยผมไม่เรียกท่านอย่างนั้นนะ นี่ตามคำที่ได้ยินมา) "เขาว่ามึงสอนคนไปสวรรค์ ไปนรกได้ใช่ไหม"

อาจารย์สุขบอกว่า "ใช่" คนนั้นเขาบอกว่า "กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อว่าสวรรค์มี นรกมี และกูก็ไม่เชื่อว่าความสามารถในคำสอนของมึง"

เอาเข้าแล้วไหมล่ะ เมื่อเกิดการท้าทาย อาจารย์สุขก็บอกว่า

"ถ้าหากว่ากูสอนให้มึงเห็นนรกได้ หรือว่าเห็นสวรรค์ได้มึงจะยอมเสียเหล้าให้กู ๑ ขวดไหมล่ะ"

นี่เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกนะครับ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วคนนั้นเขาก็ยอมโดยบอกว่า

"ถ้ามึงทำให้กูไปไม่ได้มึงต้องเสียเหล้าให้กู ๑ ขวดด้วยนะ"

ทั้งสองเกิดท้าทายกัน เขาหันหน้ามาทางผมแล้วพูดว่า "พระคุณเจ้าเป็นพยานด้วยนะครับ" ผมก็เลยนึกว่าดีวันนี้เป็นกรรมการขี้เมา แต่ไม่ได้เมากับเขา

เป็นอันว่าท่านอาจารย์สุขก็สั่งให้หาดอกไม้มา ๓ ดอก เอาเทียนที่เขาบูชาพระที่เรียกว่าเทียนหนักบาท (ความจริงมันหนักไม่ถึงบาท) มาหนึ่งเล่ม และใช้สตางค์หนึ่งสลึงยกครู และใช้เหล้าหนึ่งขวด เอ...แปลก

ผมก็นั่งนึกในใจว่า เออ... ไอ้เรื่องพรรค์อย่างนี้มันไม่น่าจะมีเหล้ามียา แต่ก็นั่งดูเขาจะทำยังไงกัน ต่อมาท่านอาจารย์สุข ก็ไปกลิ้งครกตำข้าวมา ครกตำข้าวนี่ผู้ฟังจะเข้าใจหรือไม่ผมไม่อธิบายละ ท่านให้คนนั้นนั่งที่ครกตำข้าวนั่น แล้วก็ให้ภาวนาว่า "นะ มะ พะ ธะ" อันนี้แปลก ไม่มีพิธีกรรมอะไรเลย หลังจากนั้นท่านก็ใช้น้ำมนต์พรม เมื่อพรมน้ำมนต์แล้ว ท่านก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ ท่านบอกว่า ท่านภาวนาว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" เป็นการควบคุม หลักจากนั้นสักครู่หนึ่ง ท่านก็เอาธูปหอมมาจุด ให้ควันธูปโรยใกล้ ๆ จมูกคนนั้นให้ได้กลิ่นหอม แล้วเอากระดาษจุดไฟช่วยแสงสว่างไปส่องข้างหน้า ไม่ใช่ถึงเนื้อนะ ท่านถามว่า


"สว่างแล้วหรือยัง?" คนนั้นก็บอกว่า "สว่างแล้ว"

ท่านอาจารย์สุขถามว่า "เห็นแสงขาว ๆ พุ่งลงมามีไหม หรือแสงสว่างพุ่งออกไปมีไหม?"

คนนั้นตอบว่า "เห็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากข้างบน"

ท่านอาจารย์สุขก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นตัดสินใจพุ่งกายไปตามแสงทันที"

คนนั้นบอกว่า "เวลานี้ออกจากกายแล้ว"

ท่านอาจารย์สุขบอกว่า "ถ้างั้นตั้งใจไปนรก"

คนนั้นตอบว่า "เวลานี้ถึงนรกแล้ว"

และเขาก็อธิบายความเป็นไปของนรกถูกต้องตามไตรภูมิและก็ถูกต้องตามที่ประสบมาตามพระบาลี ผมฟังแล้วก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ ก็เป็นอันว่าไป ๆ มา ๆ คนนั้นพบนรกหลายขุมตามที่เราเข้าใจ ผมก็แปลกใจเรื่องอย่างนี้ พระมีศีลแท้ ๆ ไปไม่ได้ แต่คนขี้เหล้าเมายาไปได้

แล้วต่อมาคนนั้นก็ร้องบอกว่า "อยากจะพบคุณปู่ที่ตายไปแล้ว"

ท่านอาจารย์สุขก็บอกว่า "นึกถึงพระยายมท่าน เชิญท่านมาสงเคราะห์"

คนนั้นตอบมาว่า "เวลานี้ท่านพระยายมมายืนข้าง ๆ แล้ว"

ท่านอาจารย์สุขบอกว่า "ให้ถามท่านว่า คุณปู่ (ชื่อนั้นชื่อนี้ ตายไปเมื่อไร)เวลานี้อยู่ในนรกไหม?"

ก็ปรากฏว่าคนนั้นบอกมาว่า "พระยายมท่านบอกว่า ในนรกไม่มีคนนี้และคนนี้เมื่อมีชีวิตอยู่มีความดีมาก ประการที่สอง คนนี้มีศีล ๕ ครบถ้วนมานานเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี แล้วก็มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง คนนี้มีจิตอยากจะไปนิพพาน"

ท่านอาจารย์สุขก็ให้ถามท่านพระยายมว่า "ท่านไปนิพพานหรือยัง?"

ท่านพระยายมบอกว่า "ยัง คนนี้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะก่อนจะตายเป็นพระโสดาบัน"

คนนั้นก็ถามว่า "พระโสดาบันมีความประพฤติอย่างไรบ้าง"

พระยายมท่านก็บอกว่า

๑. มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันจะต้องตาย คือไม่ประมาทในความตาย

๒. เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง

๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์

๔. คิดต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน

ถ้ามีความประพฤติอย่างนี้เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วบาปกรรมทั้งหมดจะไม่สามารถลงโทษต่อไปอีก ถ้าไปถึงพระนิพพานไม่ได้ ก็อยู่ชั้นดุสิต ต่อไปก็สามารถฟังเทศน์จากพระศรีอาริยเมตไตรยจบเดียวก็เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานเลย

แล้วคนนั้นก็เลยหันไปถามท่านว่า "คนอย่างผมจะเป็นพระโสดาบันได้ไหม?"

เสียงบอกว่า พระยายมท่านบอกมาว่า "อย่างนี้มันเป็นไม่ได้หรอก อย่างนี้ต้องเป็นสัตว์นรก เพราะการที่จะมานี่ก็กินเหล้ามา เหล้านี่กินเฉย ๆ ไม่มีโทษอย่างอื่นก็ต้องตกโลหะกุมภีแล้ว" ท่านก็ชี้ให้ดูโลหะกุมภี คนนั้นเรื่อง "ว้าก ตายแล้ว"

เสียงคนนั้นบอกมาว่า "เวลานี้ก้มลงการบพระยายมว่า ถ้าผมจะเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ และปฏิบัติตนอย่างปู่นี่จะไปเหมือนปู่ได้ไหม?"

พระยายมท่านก็บอกว่า "ได้ ทำไมจะไม่ได้ ให้ลืมความชั่วทั้งหมดปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเลิกกัน ไม่คิดถึงมัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ลืมคิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะตาย ถ้าเราตายแล้วไม่ยอมมานรกอย่างที่ยืนอยู่ที่นี่ มันทุกข์ เราไม่ต้องการ เราต้องการไปจุดเดียว คือ นิพพาน ถ้าไปสวรรค์หรือพรหม หมดบุญวาสนาบารมีต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะบาปเก่าที่มีอยู่ฉะนั้นมุ่งอย่างเดียวคือไปนิพพาน อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัว เขาเรียกพระโสดาบันบาปทั้งหมดอย่างที่ทำมาแล้วไม่ทำต่อไป"

รวมความว่าท่านคุยกันอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ ผมก็จะขอระงับไม่พูดมากละ เป็นอันว่าคนนั้นก็ถอนตัวกลับจุดเดิมแล้วลุกขึ้นกราบอาจารย์สุขแล้วขอมอบเหล้าพิเศษ เงินค่าเหล้าให้ เขาหันมาทางผมบอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าศีล ๕ ผมจะมีครบถ้วนครับ และผมจะไม่ลืมความตาย ผมเห็นนรกแล้วไม่ไหว ไอ้เหล้านี่ โอ้โฮ ผมกินหน่อยเดียว คนในนรกเบียดกันครึ่บ ๆ อันนี้ไม่ไหวจริง ๆ

ปรากฏว่านับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา วันนั้นเขาให้อาจารย์สุข อาจารย์สุขก็เลิกกินเหมือนกัน นี่ความจริงอาจารย์สุขท่านทำได้น่าจะเลิกกินเหล้าบ้างแต่ปรากฏว่าอาศัยคนนั้นเป็นเหตุให้อาจารย์สุข ๆ ก็ไม่กินเหล้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาและก็ไม่ละเมิดศีล ๕

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ของดีย่อมมีในทุกที่ทุกสถาน ถ้าเราจะประณามคนเมาว่าเลวมันก็ไม่ถูก ความดีเขามีอยู่ ตอนนี้ผมเป็นพระนี่ครับ ผมมีความรู้สึกตัวว่าผมนี่เลวกว่าคนเมา และชาวบ้านเขาไหว้ผม ผมไม่ได้ไหว้ชาวบ้าน ความรู้กระจ้อยร่อยเพียงเท่านี้ผมไม่สามารถจะมีมาแจกญาติโยมพุทธบริษัท นี่ผมเลวมาก ผมมีความรู้สึกเวลานั้น เมื่อก่อนผมก็รู้สึกว่าเลวอยู่แล้ว แต่ทว่าไอ้ตอนนั้นรู้สึกเลวหนักขึ้น

นี่แหละบรรดาท่านทั้งหลาย ผมก็ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ผมเลวและผมก็พยายามเปลื้องความเลว เปลื้องได้นิด ๆ หน่อย ๆ ความจริงผมก็มีความรู้สึกว่าความรู้มโนมยิทธิ ที่ผมให้ญาติโยมพุทธบริษัท ยังน้อยกว่าความดีของบรรดาญาติโยมที่สงเคราะห์ผม (อาตมาก็ขอประทานอภัยแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่นั่งที่นี่ประมาณ ๒๐๐ คนเศษ วันนี้น้อยหน่อยนะ ขออภัยที่สนองคุณญาติโยมได้ไม่เป็นไปตามความประสงค์อันนี้ต้องขออภัยนะ) และก็ทุกคนตั้งใจปฏิบัติ แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ขอสนองคุณได้บ้างก็พอควรนะ เพราะถือว่าดีพอ

เป็นอันว่าสำหรับวันนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย มองเวลาไปมันก็เหลือ ๒ นาที ผมตั้งใจว่าจะพูดอีกอันหนึ่งที่มีประสบการณ์มา ซึ่งก็เป็นเรื่องของผม แล้วก็ตัดสินใจว่าเอาละขอเป็นลูกศิษย์อาจารย์สุข แต่ว่าผมกินเหล้าไม่เป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่มีเหล้าเป็นอาชีพ เรื่องเหล้าเป็นอาชีพนี่ไม่เอาแน่ แต่ว่าเวลายกครูท่านแปลกที่มีเหล้าด้วย แต่สำหรับผมเรียน เวลาไหว้ครู อาจารย์สุขท่านไม่ต้องการเหล้าเลย ไม่มีสุรายาเมา ไม่มีอะไรทั้งหมด แม้จนกระทั่งยาสูบเอง ท่านก็เลิกเมา ดีมากนะ นี่วันหลังนะ ความจริงวันนั้นก็ขอเรียนจากท่าน เห็นผลแล้วนี่ เมื่อขอเรียนจากท่าน ท่านก็ขอร้องว่า วันหลังเถอะครับ วันพรุ่งนี้ ผมจะแนะนำให้

เอาละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย เป็นอันว่าวันรุ่งขึ้นท่านก็มา แต่มาแล้วจะพูดอะไรกันได้ล่ะ สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว เทปบันทึกเสียงจะหมดหน้าแล้ว ก็ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก