วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๖ ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ (ต่อ)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันที่บันทึกนี่ก็ยังเป็นวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ตามเดิม คราวที่แล้วได้พูดถึง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ซึ่งความจริงต้องทำให้คล่อง ทำให้ชิน หากว่าท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่านอยากทราบว่าทำอย่างไร โปรดทราบว่าที่พูดนี่พูดกับคนที่เขาฝึกได้มาแล้ว และวิธีการต่าง ๆ ครูบาอาจารย์เขาก็สอนมาแล้ว

ก่อนที่จะพูดอะไรทั้งหมด ก็ขอเตือนเรื่อง กำลังของสมาธิ เวลาของสมาธิทรงให้ดีและมีสภาพแจ่มใส อย่าลืมว่า "จงอย่ามีความห่วงใยอะไรทั้งหมดขณะที่ทำสมาธิกำลังใจของเราต้องดีตลอดวัน" นั่นคือไม่ยกตนข่มท่าน ไม่สนใจ ไม่แส่ไปหาเรื่องในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาดีเขาจะเลวช่างเขา เราเห็นเขาเลวมากก็คือเราเลวมากเอง ถ้าเราเป็นคนดี ในโลกนี้ไม่มีใครเลว ทุกคนอยู่ใต้อำนาจกฎของกรรม และก็ไม่ถือตัวเกินไป อารมณ์อย่างนี้เป็น สะเก็ดความดีในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร และก็การเข้าถึงเปลือกความดีคือ ๑. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว ๒. สามารถระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใดที่ต้องการ
๓. จิตทรงพรหมวิหาร ๔

๔. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระอริยสงฆ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น

เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านทรงอารมณ์ได้อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไปไม่มีแน่ จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์ นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียจรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีต่อไปอีก มีอย่างเดียวคือมุ่งหน้าไปนิพพาน และก็ถ้าหากว่าจะต้องเกิดใหม่ ก็มีการจำกัดเวลา ถ้าความเข้มข้นของจิตมีอยู่ เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน ถ้ามีกำลังจิตอ่อนลงมา เป็นอย่างกลางก็เกิดอีก ๓ ชาติจากคนแล้วก็ไปนิพพาน กำลังจิตย่อหย่อนไปมากหน่อยก็เกิดอีก ๗ ชาติไปนิพพาน

แต่ว่าถ้าทรงกำลังใจอย่างที่ว่ามาแล้วทุกคน สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วพึงทราบว่า ถ้าตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อพระศรีอาริย์มาตรัส ฟังเทศน์จบเดียวอย่างน้อยเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี ฟังเทศน์อีกครั้งสองครั้ง อย่างน้อยก็ไม่ช้านักได้เป็นพระอรหันต์

รวมความว่าถ้าพบพระพุทธเจ้าคือพระศรีอาริย์ไปนิพพานแน่ แต่ว่าทางที่ดีขอทุกคนตัดสินใจไปนิพพานชาตินี้ดีกว่า จะได้มีการรวบรัดขยันหมั่นเพียรปฏิบัติด้านความดี และก็ในที่สุดเราจะได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ตั้งใจจะไปนี่ให้ตั้งใจจริง ๆ มันก็ต้องไปกันแน่ ไปชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้แน่

เหมือนกับคนอยากรวย มีความขยันหมั่นเพียร ประกอบไปด้วยสติปัญญาพอควร ถ้ามีอารมณ์ ๔ อย่างทรงตัวคือ

๑. ฉันทะ ความพอใจในผลของการปฏิบัติ

๒. วิริยะ มีความเพียรต่อสู้อุปสรรคที่เข้ามาขัดขวาง เราก็ถืออุปสรรคเป็นของธรรมดา ในการปฏิบัติงานทั้งหมด

๓. จิตตะ เอาใจจดจ่อสอดใส่ คือไม่ทิ้งอารมณ์ในด้านของความดีในข้อวัตรปฏิบัติ

๔. วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ

อารมณ์ ๔ อย่างนี่ทรงตัว ทำทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จหมด ทุกอย่างไม่เหลือจะเป็นฌานหรือญาณต่าง ๆ ทั้งหมดก็ดีไปหมด (นี่ต้องขออภัยนะ อยู่ ๆ มันก็จะไอขึ้นมาเฉย ๆ นี่ความไม่แน่นอนของร่างกายเป็นอย่างนี้ จงอย่าคิดว่าร่างกายของเรามันดี เห็นความเลวของร่างกายผมไหม และเสียงสอนมันก็จะใช้ไม่ได้ ความแก่เฒ่าเข้ามาครอบงำ)

ต่อไปนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง อตีตังสญาณ คือญาณในอดีต

ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใดมีพระอริยเจ้าองค์ใดที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ถามเฉพาะองค์นั้น อย่างเปะปะเอะอะโวยวายถามใครก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องถามเฉพาะบุคคล
และเวลาจะเข้าถาม ทำจิตสะอาด วางเฉยเป็นกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลางแล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี สะดวกมาก เพราะว่าท่านที่จะรู้อะไรได้ทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา

ก็รวมความว่าเราใช้กำลังใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูปจับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิตอย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินทางไปไหนจับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง นี่เรามาพูดกันถึง อตีตังสญาณ คือญาณในอดีต

สำหรับญาณในอดีตนี่ก็หมายความว่า สิ่งล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอาอนาคตังสญาณเข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ "ทำใจสบาย" คำว่า ใจสบายตามที่พูดมาแล้วคือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือกของความดีในพระพุทธศาสนาไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวันตลอดทุกวินาทีที่เราต้องการจะรู้

ตอนนี้เราต้องการจะรู้อดีต สมมุติว่า เราไปเจอะวิหารร้าง เมืองร้าง สถานที่ว่างเปล่า เราก็อยากจะทราบว่าสถานที่นี้มีอะไรบ้าง มีใครที่มีความสำคัญเกิดในที่นี้บ้าง สมัยนั้นรูปร่างหน้าตาของบ้านเมืองเป็นอย่างไร ความสุข หรือความทุกข์ของบ้านเมืองเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่คล่อง อันดับแรก ให้นึกถึงพระพุทธรูป คือภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้า จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินให้ทำเรื่อย ๆ ไป ขอประทานอภัยครับ ผมจะเล่าถึงวิธีการที่ผมทำมาในกาลก่อน
ในกาลก่อนผมใช้วิธีการอย่างนี้ ผมจะเดินไปไหน ผมจะนอนที่ไหนก็ตาม ถ้าว่างจากอารมณ์อื่นนิด ผมจะจับภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธรูป อย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นอยู่ในอกตลอดเวลา ผมเดินไปบิณฑบาต เดินไปธุระ ไม่รู้ละ ผมใช้ของผมตลอดวัน และก็เป็นได้ตลอดวันจริง ๆ ก่อนจะดูหนังสือผมต้องเห็นพระพุทธเจ้าก่อน ทำให้จิตสบาย จะเดินไปไหน จะพูดกับใคร จะเข้าโรงเรียน จะสอนนักเรียน ผมเห็นภาพพระพุทธเจ้าตลอด บางครั้งเห็นทั้งในอกและเห็นทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคลุมตัวผมตั้งแต่ศีรษะลงมาคือท่านนั่งครอบผมเลย และภาพอย่างนี้ถ้าคนอันธพาลเขาจะบอกว่า เอามาจากไหน เป็นภาพอุปาทานก็ช่างเถอะ เราทำจิตสะอาด นึกว่าเป็นอย่างนั้น เห็นภาพอย่างนั้นจริงก็แล้วกัน และผลใหญ่จะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นคือ ต้องการรู้อะไรรู้ได้ทันที

สมมุติว่าถ้าเราอยากจะรู้จักสถานที่นี้ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร บ้านเมืองสวยสดงดงามขนาดไหน มีใครเป็นคนสำคัญ สมัยนั้นมีความสุขความทุกข์เป็นประการใด เราต้องการทราบ ภาพนั้นก็จะปรากฏกับเรา เมื่อภาพปรากฏกับเราเราก็เชื่อมั่นทันทีว่าภาพที่ปรากฏครั้งแรก นั่นของจริง

แต่ที่นี้เมื่อภาพปรากฏอย่างนั้นแล้ว อย่าเพิ่งไว้ใจตัวเองว่าภาพที่เห็นนั้นจะจริงหรือไม่จริง จะเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า ในเวลาเดียวกันเราก็ใช้อารมณ์แบบนี้ ของอะไรบ้างที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นโถแตก ๆ ชามแตก ๆ จะซุกอยู่ที่ไหน ฝังอยู่ที่ไหนซึ่งไม่ลึกนัก พอจะคุ้ยเขี่ยได้ในสถานที่นี้มีไหม ถ้าภาพนั้นปรากฏขึ้นกับใจของเรา และก็บอกสถานที่ว่าที่ตรงนั้นมีอย่างนั้น เดินไปจุดนั้นทันที ขุดคุ้ยดูของที่เราเห็นภาพ มันมีจริงไหม ถ้ามีจริงนั่นแสดงว่า ภาพอตีตังสญาณของเราถูกต้องหมด เวลานี้เราใช้ปัจจุปันนังสญาณดูว่าในปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง มีความสำคัญที่ไหน อันนี้ต้องทำให้คล่อง ต้องทำเรื่อย ๆ และอย่าลืมว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ อาจจะผิดบ้าง อาจจะถูกบ้าง ไม่ต้องกลัว


แบบเราเรียนหนังสือ กว่าจะเขียนหนังสือเป็นตัวขึ้นมาได้ เราก็เขียนผิด ๆ ถูก ๆ เขียนเป็นตัวบ้างไม่เป็นตัวบ้าง เขียนถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อทำบ่อย ๆ จนคล่องเรานึกจะเขียนอะไรก็เป็นไปไปตามใจเรานึก

อย่างคนที่เขายิงปืนแม่นก็เหมือนกัน ความจริงเขาไม่ได้แม่นมาจากท้องมารดาออกมาก็ยิงปืนแม่นได้ทันที ไม่ใช่อย่างนั้น เขาต้องซักซ้อม ต้องใช้กระสุนมาก ๆ เป็นร้อยเป็นพันนัด พอคล่องตัวยิงแม่นเหมือนจับวาง จึงปรากฏขึ้น

ฉันใดการฝึกฌานสมาบัติก็เหมือนกันกับที่พูดมาแล้วนี่ และผลที่สุดก็ต้องทำอย่างนี้แหละครับ คือทำเหมือนคนบ้า ทำมันเรื่อย ๆ ไป เราบ้าเข้าไปหาความดี เราบ้าความดี ทำลายบ้าชั่ว คือกิเลส ทำเรื่อยไป อย่างนี้จิตจะเพลิดเพลิน


อย่างประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เขาเขียนไว้ ถ้าเราหยิบประวัติศาสตร์ขึ้นมาอ่าน อ่านไปตามเขาเขียนก่อน หลังจากนั้นก็วางหนังสือ จิตย้อนเข้ามาทบทวนสภาพเดิมว่า ตามประวัติศาสตร์ที่เขียนไว้น่ะ ความจริงภาพจริงเป็นอย่างไร ดูความสุขความทุกข์ของคนเหมือนกับดูหนัง ถ้าถอยหลังเข้าไป เขาจะมีความสุขแค่ไหน เขาจะมีความทุกข์แต่ไหน ทำให้ชิน ทำให้คล่อง
สำหรับความเป็นทิพย์ของจิตนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงตรัสว่า ต้องทำบ่อย ๆ ความจริงทำให้คล่องทุก ๆ วันน่ะดี มันจะมีการคล่องตัวหนัก ๆ เข้าความเป็นทิพย์ปรากฏกับจิตเป็นประจำ

ถ้าความเป็นทิพย์ปรากฏกับจิตเป็นประจำและแม่นยำได้ นั่นก็คือต้องทรงกำลังความดีของจิตตามที่กล่าวมาแล้วว่า รักษาสะเก็ด รักษาเปลือก รักษากระพี้ รักษาแก่นความดีในพระพุทธศาสนาไว้

อาการต่าง ๆ ที่ต้องสัมผัสกับเรา บางทีไม่ต้องใช้กำลังสมาธิใด ๆ พอมีอารมณ์สบายปุ๊บ สิ่งนั้นจะปรากฏทันที ถ้าภาพนั้นปรากฏให้เชื่อทันที โดยที่เราไม่ได้นึกไว้ก่อนว่าเป็นของจริง แล้วสังเกตไว้จะเป็นความจริงหรือไม่จริง บางครั้งถ้ากำลังใจยังต่ำ ยังเป็นทาสของนิวรณ์อยู่บ้าง บางครั้งก็ถูกอารมณ์หลอนเหมือนกัน ฉะนั้นต้องพยายามระงับนิวรณ์ไว้ทุกขณะจิตที่เราต้องการ ถ้าเป็นพระนี่มีความจำเป็น อย่าให้นิวรณ์รบกวนเกินไป


เมื่อทำได้อย่างนี้ ญาณคือรู้ในอดีตหรือสิ่งที่ล่วงลับมาแล้ว มันจะไม่พลาด มีความสนุกสนานมาก ใครเขาพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะเราก็รับฟัง พร้อมกันกับที่เรากำลังนั่งฟังเขาพูดนั่นแหละก็ใช้จิตทบทวนไปทันทีอย่างอดีตใกล้ปัจจุบันเขาบอกว่า เมื่อวานนี้ เมื่อกี้นี้คนนั้นว่าอย่างนั้น คนนั้นทำไอ้นี่ เราก็อย่าไปคัดค้านเขา ตั้งใจอย่างเดียวว่า ถ้าสิ่งที่เขาพูดมันจริงหรือไม่จริง เราต้องการทราบ พอต้องการทราบเท่านั้นทั้ง ๆ ที่ปากเราคุยจิตมันก็รู้ ภาพเหล่านั้นมันจะเกิดกับจิตทันที และจะพบว่าวาจาที่เขาพูด เรื่องที่เขาเล่าให้ฟังมันมีความจริงหรือไม่จริงเพียงใด นี่เป็นประโยชน์ใหญ่มาก

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เหตุการณ์ในอดีตรู้ได้ทั้งของคนของสัตว์ หรือของวัตถุ ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ติดในโลก ทั้งนี้เพราะอะไร ใครที่ไหนที่มีความสุข ความทุกข์ มีอำนาจวาสนาบารมี ต่างคนต่างก็ตายคนทั้งหลาย เหล่านั้นจำนวยก็ไม่น้อย สมัยนั้นเขาก็ตายกันหมด ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่หามาด้วยความเหนื่อยยาก แต่รบราฆ่าฟันกัน แย่งทรัพย์สินกัน แย่งสถานที่กันแย่งความเป็นใหญ่กัน ในที่สุดต่างคนต่างตายกันหมด แล้วเราล่ะ จะมานั่งเมาสถานที่ นั่งเมาทรัพย์สิน นั่งเมาอำนาจวาสนา แล้วมันจะดีตรงไหน ในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม

ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคน เห็นหน้าปั๊บ ได้ยินชื่อปั๊บ ต้องการรู้อดีตจะรู้ได้ทันทีว่าอดีตของบุคคลผู้นี้ (คำว่าอดีตคือเวลาที่ผ่านมาแล้ว แม้แต่ ๑ วินาทีก็ถือว่าเป็นอดีต ถอยหลังออกไปจะยาวจะสั้นไม่สำคัญ) อยากรู้ว่าคนนี้เขามีจริยาเป็นอย่างไร มีนิสัยเป็นอย่างไร มีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร ถ้าต้องการรู้อารมณ์ใจก็รู้ได้ เพราะความเป็นทิพย์ของจิตที่เรียกว่า "เจโตปริยญาณ" ความจริงไม่มีอะไรหรอกครับ "ความเป็นทิพย์ของจิตอย่างเดียวเรารู้หมด" ใช้อย่างไหนเรียกอย่างนั้น รู้จิตคนอื่นเรียก "เจโตปริยญาณ" ต้องการถอยหลังชาติของเราเองเรียกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้เรื่องในอดีตของคนอื่น ของสัตว์อื่นและของสถานที่เรียก อตีตังสญาณ ความจริงก็ทิพจักขุญาณตัวเดียว ส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆ ต้องฝึกฝนในทิพยจักขุญาณให้มาก

นี่ผมก็เล่าประวัติของผม ไอ้ผมน่ะไม่ดีไม่เด่ละครับ ก็มีความรู้เป็ด ๆ นี่แหละ เอามาคุยกับพวกท่าน แต่ความจริงเป็ดนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันว่ายน้ำก็เป็น มันวิ่งก็ได้ มันบินได้ มันร้องได้ ถึงแม้ว่าจะทำไม่ดีเท่าไก่ ทำไม่ดีเท่าปลา แต่มันก็ยังทำได้บ้าง อย่างพวกเรานี่ ที่เราฝึกมโนมยิทธิกัน ก็เป็นความรู้เป็ด ๆ ในพระพุทธศาสนาที่เขาคิดว่าวิเศษวิโสน่ะความจริงมันไม่ใช่ อันนี้เป็นความรู้เบื้องต้นในพระพุทธศาสนาจริง ๆ ผมเองก็รู้สึกขอบคุณบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ท่านสงเคราะห์ผม สมัยสนุนทุกอย่างจนกระทั่งมีความเข้าใจในพุทธศาสนาตามสมควร

อย่าลืมว่าอตีตังสญาณก็ดี ปุพเพวินานุสสติญาณก็ดี ทิพจักขุญาณก็ดี ญาณใด ๆ ก็ตาม คนต่างชาติเขาเก่ง อย่างเลขานุการเอกของสถานทูตสิงคโปร์ ท่านพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต เป็นคนฝึกให้ คนนี้เก่งมาก ใครเดินผ่านหน้าแกไม่ได้ แกดูหมดว่าคนนี้มีสภาวะความจริงของจิตใจเป็นอย่างไร และการมาที่นี่มีอะไรบ้าง เบื้องหลังที่ตาไม่เห็นแกเช็คหมด และแกก็ฝึกภรรยา ฝึกลูกของแกให้ทำได้ ทั้งบิดามารดาของแกที่สิงคโปร์แกก็ทำได้

มีคนเคยถามว่า "ก่อนจะเกิดเป็นชาวสิงคโปร์เขาเกิดที่ไหน?"

แกก้มหน้านิดตอลบได้ทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมา แกบอกว่า "ก่อนที่จะไปเกิดที่นั่น เดิมทีแกเป็นลูกชาวนาของเมืองไทย เป็นคนไทย"

อย่างกับฝรั่งที่เดนเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ความจริงก็มีฝรั่งไปฝึกทั้ง ชิคาโก เดนเวอร์ แคลิฟอร์เนีย เขาเก่งทั้งหมด แต่มีคนหนึ่งที่ผมชอบล้อแกเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ คนนี้ถามอะไรปั๊บ ก้มหน้าปุ๊บ เงยหน้าปั๊บ ตอบทันที เป็นการระลึกชาติถอยหลัง แกรู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ถ้าจะถามว่า แกโม้เรอะ ไม่ใช่ ผมถามสิ่งที่ผมรู้ และแกก็ตอบตรงกับที่ผมรู้ อันนี้มันเป็นเครื่องพิสูจน์เราควรจะภูมิใจ
ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลาย เราเป็นพระไทยที่ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราก็พากันเย่อหยิ่งในใจว่า ประเทศไทยรักษาพระพุทธศาสนาได้ดีกว่าทุกประเทศ ความจริงพระพุทธศาสนาต่างประเทศเขาอาจจะมีเหมือนเรา หรืออาจจะมีดีกว่าเราก็ได้ เราไม่รู้ ที่เราพูดว่าเรารักษาไว้ได้ดีกว่าทุกประเทศ อาจจะมีสภาพเป็นคางคกในกะลาครอบก็ได้ ที่เราไม่มองหน้าคนอื่นเขา ไม่ดูหน้าเขากับหน้าเราว่าใครมันแจ่มใสกว่าเรา เวลานี้ชาวอเมริกากันขาวชาวอเมริกันดำ และก็ชาวเยอรมัน เจ๊กที่สิงคโปร์เขาทำกันได้ และก็คล่องตัว แต่พวกเราที่เป็นภิกษุสามเณร หรือพระเณรนี่มีความสำคัญมาก
จงอย่าคิดว่าของเหล่านี้ยาก ถ้าคิดว่ายากก็แย่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าญาติโยมพุทธบริษัททั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งเด็กผู้ใหญ่ มีความคล่องตัวมาก นักเรียนนักศึกษาเขาได้กันมากและคล่องตัวดีด้วย สภาพความเป็นทิพย์ของจิตเขามีสภาพแจ่มใส

เพราะอะไร เพราะว่าญาติโยมพุทธบริษัทมากท่านที่ทำได้ ท่านชอบเช็คพระตั้งแต่โลกันตนรกถึงนิพพาน แต่ปรากฏว่าไปพบช้างสีดอของเมืองไทยในโลกันตนรกบ้าง ในอเวจีมหานรกบ้าง ขุมอื่นมีน้อย และมีพระช้างเผือกที่อยู่สวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมบ้าง ถ้าถามว่าเป็นพระสมัยไหน เขาไม่ดูสมัยไกลน่ะซี เขาเล่นในสมัยใกล้ ๆ สมัยรัตนโกสินทร์นี่ก็ชอบชมกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันนี่เขาพบกันมากมาย บางท่านก็เกิดความสลดใจบอกว่า ความจริงท่านมีจริยาดีมาก เรียบร้อยดีทุกอย่าง สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรียกว่าน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ว่าพอตายไปแล้วลงอเวจีบ้าง ลงโลกันต์บ้าง เขาก็ใช้การทบทวนถาม เรียกขึ้นมาถามได้จากขุมนรก ท่านผู้นั้นก็เล่าตามความเป็นจริงทุกอย่าง เอาเงินเข้าบ้านบ้าง เอาของเข้าบ้านบ้าง ของที่ชาวบ้านเขาถวายมา บางท่านก็ทำตัวหมดสภาพความเป็นพระเลย เป็นฆราวาสห่มผ้าเหลือง มีลูกมีเมียได้ ก็รวมความว่าท่านไม่ไหว้ เรื่องนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายต้องระมัดระวัง

มีญาติโยมมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี อยู่แถวสระยายโสม ครูถามถึงความต้องการพระที่ท่านควรจะบูชา อันนี้เขาดูถอยหลังไปได้ ยังไม่ตาย เขาใช้ปัจจุบันนังสญาณกับอตีตังสญาณว่า ปัจจุบันนี้ท่านประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ควรจะบูชาหรือไม่ควรบูชา อตีตังสญาณถอยหลังไปอีกนิดหนึ่งท่านทำอะไรไว้ ควรบูชาหรือไม่ควรบูชา

ควรจริงความรู้นี้ก็ดี เป็นเหตุให้บรรดญาติโยมทั้งหลายรู้จักพระองค์ไหนควรบูชา พระองค์ไหนไม่ควรบูชา จะได้พยายามผ่อนปรน ค่อย ๆ ดันให้พวกทำลายพระพุทธศาสนาให้สลายตัวไป ที่ท่านปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาไม่หวังดีในการปฏิบัติ หวังอย่างเดียวคือทรัพย์สินในการเลี้ยงชีพ อันนี้เป็นการทำลายความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระพุทธศาสนา

และก็อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติเขามีความฉลาดมาก เขามีการคล่องตัวมาก บรรดาพวกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นพระเราไม่ได้แข่งกับเขา แต่ว่าในฐานะเราเป็นเจ้าของบ้าน ที่เราคุยกับเขาว่าเรามีพระพุทธศาสนา เราต้องพยายามทำให้มีสภาพแจ่มใส

ความจริงเขาจะดีขนาดไหนเป็นเรื่องของเขา เราทำให้ดีที่สุด อารมณ์ติดในชีวิตคิดว่า มันไม่ตาย เลิกคิด ยอมรับนับถือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ให้ทรงตัว พยายามทรงศีลให้บริสุทธิ์

ความจริงเขาจะดีขนาดไหนเป็นเรื่องของเขา เราทำให้ดีที่สุด อารมณ์ติดในชีวิตคิดว่า มันไม่ตาย เลิกคิด ยอมรับนับถือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ให้ทรงตัว พยายามทรงศีลให้บริสุทธิ์

จงอย่างคิดว่าอาบัติแสดงได้ ถ้าแสดงทีไรมันตกนรกทุกทีนะ ขึ้นชื่อว่าความชั่วมันชั่วแล้วมันดีไม่ได้ ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่า เราบวชเพื่อนิพพาน ตามพระบาลีว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหต๎วา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" อย่างนี้จิตจะสดใสทุกวัน สมกับเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สำหรับระยะนี้ สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความเป็นสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่เพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมผู้รับฟังทุกท่าน


สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก