วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๗ เมื่อผมตาย

ตายครั้งที่ ๑

พุทธบริษัททั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คาสเซทชุดนี้เป็นคาสเซทชุดเล่าถึงความเป็นมาของความตาย

ความจริงผมตายจริง ๆ และก็เกือบตาย รวมแล้วทั้งหมด ๙ ครั้ง คำว่าเกือบตายนี่ก็หมายความว่าหมดความรู้สึกภายนอกแล้วเหมือนกัน แต่ว่าจิตไม่ได้ไปไหนสำหรับการตายจริง ๆ นั้น จิตท่องเที่ยวไป ออกไปแล้วแต่เขาไล่กลับ

ที่นำเรื่องความตายมาพูดวันนี้ หรือคราวนี้ก็มิได้หมายความว่าจะโชว์ฟอร์มของความตาย "ความจริงจะได้ทราบว่าลักษณะการตาย ความรู้สึกจริง ๆ เป็นอย่างไร" แต่คงไม่เหมือนกันทุกคน เพราะผมจะตายเองจริง ๆ ก็มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส แต่การตายนี่จะตายได้เพราะทุกขเวทนามาก ถ้ามันไม่มากจริง ๆ ประสาททุกส่วนก็ยังทำงาน ถ้าประสาททุกส่วนยังทำงานอยู่มันก็ยังไม่ตายหรือว่าประสาทบางส่วนหยุดการทำงาน แต่ว่าลักษณะของลมหายใจเข้าออกอาการนั้นยังมีอยู่ก็ยังไม่ตาย คือความตายจริง ๆ ก็ต้องสิ้นลมปราณ คือลมหายใจเข้าออก

(ผมก็ลืมบอกไปว่าวันนี้ คือ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็นวันที่บันทึกเสียงจะได้ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร)
แล้วสำหรับเรื่องของความตายนี่มันมีมาก หนังสือเล่มนี้ถ้าเป็นหนังสือนะ (เพราะว่าการบันทึกนี่ให้เขาทำหนังสือออกด้วย เพราะว่าคนที่ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงและต้องการจะเก็บก็จะเก็บไว้ได้นาน) แล้วอีกประการหนึ่งนี่ความตายมีมากการบันทึกอย่างนี้ก็หมายความว่าอีก ๒ คาสเซท ทั้งคาสเซทนี้ด้วย แต่ต้องจบหนังสือเล่มแรก หนังสือเล่มแรกนี่ความตายไม่จบจะต้องติดไปหนังสือเล่มที่ ๒ เพราะเกรงว่าหนังสือจะโตเกินไปแบ่งเป็นเล่ม ๆ ท่านที่มีสตางค์น้อยจะได้มีโอกาสซื้อ และก็เล่มต่อไปก็จะพูดถึงความตาย

เมื่อความตายจบก็จะนำ จริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บางส่วนที่พบมาพูดถึงความดีของท่าน และความลำบากของท่าน ความเหน็ดเหนื่อยของท่านมาเล่าสู่บรรดาพี่น้องพุทธบริษัทฟัง จะได้ทราบตามความเป็นจริง

บางท่านก็กล่าวว่ามีบุคคลบางกลุ่มอยากจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ผมก็ยังคิดว่าประเทศไทยยังมีความจำเป็นของสถาบันกษัตริย์อยู่ ในด้านกษัตริย์ที่มีอยู่ในเวลานี้ก็ไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญใครเลย มีอย่างเดียวบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่บรรดาประชาชน ถ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแทนจะเหมือนหรือไม่เหมือน คงเหมือนกันไม่ได้เพราะคนละคน ถ้าเหมือนไม่ได้จะเหมือนในด้านดีหรือว่าในด้านเลว สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ไม่แสดงความเลวแก่ประชาชน ถ้าเอาความเลวมาใช้ก็แสดงว่านอกทางไปแล้ว ไม่ใช่ ไม่ใช่ประทานความเป็นอยู่ของปวงชนชาวไทย แต่กระนั้นความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมมาพูดความตายของผมดีกว่า

ความตายวาระที่ ๑ จริง ๆ นี่ขอรับ ขอได้โปรดทราบ ผมเองก็ยังไม่ทราบอะไรมาก เพราะเวลานั้นผมเองอายุ ๒ ปีเศษ ๆ เข้า ๓ ปี แต่อย่าลืมว่าตั้งแต่อายุปี เศษ ๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็มีเกณฑ์แนะนำเกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า "พุทโธ" แต่การสอนภาวนาว่า "พุทโธ" ของท่านก็ไม่ต้องใช้พิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" ถ้าทำอย่างนั้นเรื่องของเด็ก ๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า "พุทโธ" ก่อนจะหลับจะต้องภาวนาให้ท่านได้ยินว่าง่าย ๆ ก็คือว่าให้ท่านได้ยินว่า "พุทโธ" "พุทโธ" "พุทโธ" เพียงเท่านี้ท่านให้หลับได้ ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า "พุทโธ" ให้ท่านได้ยิน ๓ คำไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า "พุทโธ" ตามเดิม

และก็เด็ก ๆ นี่บรรดาท่านทั้งหลายโปรดทราบ นิวรณ์ยังไม่มี คำว่านิวรณ์ คือนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

ความรักในระหว่างเพศยังไม่มี

อารมณ์ความโกรธคิดจะฆ่าใครก็ยังไม่มี

ไอ้ความง่วงมีแน่แต่เราใช้เวลาไม่นานก็ยังไม่ถึงง่วง ถึงง่วงแล้วท่านก็ให้ว่า

และก็การมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไปอย่างผู้ใหญ่ เด็กก็ไม่มี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กไม่ค่อยจะสงสัยอะไร ผู้ใหญ่ให้ว่าอย่างไรก็ว่าไปตามท่าน จะว่าแบบนกแก้วนกขุนทองก็ไม่เป็นไร


แต่นี่สมมุติว่า ถ้าว่าพูดแบบนกแก้วนกขุนทองจะมีผลไหม ก็ต้องตอบว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสในเรื่อง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร ว่าคนนึกถึงชื่อท่านอย่างเดียวไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็ทรงยืนยันว่าตายจากความเป็นคนไปเป็นเทวดานับไม่ถ้วน นับเป็นโกฏิ ๆ (วันนี้ผมก็เป็นหวัด)

เวลานั้นท่านแม่บอกว่าให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก็เป็นความดี แต่ผมเป็นเด็กก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ก็ภาวนาอย่างนั้นมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทั้งวัน เอากันแค่เวลาจะนอน พอแค่เวลาจะนอนก็ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้ได้ยิน คำภาวนาว่า "พุทโธ" ของเด็กผมคิดว่าคงไม่สนใจความเป็นพระของพระพุทธเจ้าเลย ว่าตามเกณฑ์บังคับเท่านั้น

คราวนี้มาว่ากันถึงผล พออายุ ๒ ปีเศษ ๆ ใกล้จะถึง ๓ ปีผมป่วยฉับพลัน นั่นก็คือโรคท้องร่วง ไอ้โรคนี้ผมทราบ ทราบจากพระท่านบอกว่าผมต้องตายเพราะโรคนี้ โรคทางท้องจะร่วงหรือไม่ร่วง เวลานี้มันไม่ค่อยจะร่วง เวลานี้ขี้ไม่ออก มันไม่ค่อยจะร่วงมากกว่า คือไม่พยายามจะออก เมื่อก่อนนี้ร่วงบ่อย เดี๋ยวนี้ไม่ร่วงแล้ว ก็ทางท้องเหมือนกันมันถ่ายไม่ไหว มันถ่ายไม่ออกต้องใช้ยาระบายเป็นปกติ ฉะนั้นเวลานี้ผมจึงป่วยไข้ไม่สบาย

แต่ว่าการป่วยไข้ไม่สบายกับธรรมะนี่ผมก็ถือว่าผมต้องสู้ ถ้าเพื่อธรรมะแล้ว ผมต้องสู้จนกว่าจะสิ้นชีวิต แต่เรื่องอื่นไม่แน่ ผมไม่สู้ใครเพราะแรงไม่มี การมาพูดนี่ก็พูดกันในขณะที่ยังป่วยไข้ไม่สบาย วันนี้ก็ยังเดินโซซัดโซเซ หลังจากเลิกจากการรับแขก ลุกขึ้นมามันมึนใกล้จะล้ม แต่ก็ไม่เป็นไร ตั้งใจว่าวันนี้จะบันทึกให้จบเล่มที่ ๑ คือครบ ๑๐ คาสเซท

เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้น ท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุกมารักษา ท่านลุงนี่เป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ ท่านมีความเข้าใจทั้ง ๒ อย่าง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาแต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดผมก็จะต้องตาย การตายคราวนั้นก็มีญาติอยู่เยอะ มีท่านย่าอยู่ด้วย มาพยาบาล

และท่านย่าของผมก็ดี ท่านยายก็ดี ทั้ง ๒ คนนี่ปกตินินทาคนไม่เป็นและก็ทรงศีล ๕ อยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะท่านย่า ใช้คำภาวนาโดยท่านมีลูกประคำ คือมีลูกประคำชักอยู่เรื่อย ๆ เวลาท่านจะตายคือผมเป็นเด็กโตแล้วท่านนั่งชักลูกประคำไปครึ่งพวงท่านก็ตาย แล้วหันหลังพิงฝา แสดงว่าจริยาของท่านในด้านธัมมะธัมโมท่านดีมาก เมื่อผมตายเข้าจริง ๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน

มันเป็นเวลาเย็นแล้วใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ผมรู้นี่ท่านพ่อกับท่านแม่ท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านกลับไปบ้าน ท่านก็อาบน้ำอาบท่านแต่งกายแต่งตัวแล้ว ก็หวังว่าจะกินข้าวเย็นให้มันอิ่ม อิ่มแล้วจะกลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จ ก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื้อมาบ้านทันที บ้านไม่ไกลกัน

เป็นอันว่าบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจไม่เคยเห็นจริยาของย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมา มีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจเพราะผมตาย แต่ว่าเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ทุกคนไม่เคยเห็น ต่างคนตามมาแล้วท่านย่าขึ้นมาบนบ้าน มาถึงแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ ปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ ไปที่ไหนเห็นแต่ท่านนั่งพับเพียบเป็นปกติ และการนั่งพับเพียบท่านก็ไม่ค่อยจะพลิก บางทีตั้งครึ่งวันค่อนวัน ท่านนั่งพับเพียบด้านขวาก็ขวาซ้ายก็ซ้ายไม่พลิกอีก


วันนั้นท่านขึ้นมา ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าท่านนั่งขัดสมาธิ ๒ ชั้นแล้วก็ถามว่า "ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย?"

ท่านพ่อบอกว่า "คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว"

เสียงท่านลักษณะผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย แล้วพูดจาห้าวหาญบอกลักษณะผู้ชายชัด เมื่อท่านพ่อท่านแม่บอกอย่างนั้น ท่านก็บอก

"กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ ?"

ก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า "ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือโรคไม่หนักหนา ?"

ท่านลุงก็บอกว่า "เกินวิสัยของผมแล้วครับเป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้"

ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง"

ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมา ๑ ขัน แล้วก็เอาธูปมา ๓ ดอก เอาเทียนมา ๑ เล่ม ข้าจะทำน้ำมนต์ ข้าจะรักษาเอง"

ในที่สุดท่านก็ทำน้ำมนต์ หลังจากทำน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า "เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ ๆ ข้า"
เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งพร้อมกับเป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ๓ ครั้ง พอ ๓ ครั้ง ท่านก็อมน้ำตั้งใจเงียบ ๆ ประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ

พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้นขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่า เด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่าง ๆ ที่เป็นหายหมด

หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าถ้าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา

แล้วท่านก็มองหน้ามาที่เด็กเรียกเข้ามาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ ๆ ให้หันหน้ามาว่า "เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้น หรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า"

เวลานั้นกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ผมนะ ผมเองนี้ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็น เด็ก ๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ พอนั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้ กลัว นี่ความรู้ ตอนนี้รู้ตัว

สำหรับไอ้สุนัขนี่ผู้ใหญ่เขาหลอกหมาบ้าจะกัด หมาบ้าจะกัด ก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก ๒ กลัวนี่ท่านไม่รู้ใจ หลังจากนั้นท่านก็ลาไป

เมื่อลาไปแล้วตามปกติของผมเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่พี่ท่านไปข้างล่าง ท่านบอก

"อยู่ข้างบนนี่นะอย่าไปไหนเลย และก็อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุน จะเจ็บ"

ตั้งแต่ตอนเด็กมา คำสั่งผมถือว่าเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ผู้ใหญ่อาจจะเห็นเป็นโรคมายาก็ได้ ทำอย่างไร ท่านสั่งไม่ได้ลงก็ต้องไม่ลง ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี จะตีหรือไม่ตีก็ยังไม่แน่ ในที่สุดก็แก้ไขช่วยปัญหาตนเองนึกถึง ท่านพระอินทร์ ว่า

"ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว"

นึกปั๊บเห็นท่านทันที ท่านมาในลักษณะที่เราเข้าใจ เราเข้าใจกันว่า พระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียว ๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า

"ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้"

และในการบางครั้งท่านก็มีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า

"พ่อต้องรีบกลับ แต่คนนี้จะช่วยลูก"

คนนี้ก็คือมี ๒ คน ครั้งแรกมีผู้หญิงสาว และก็สวย สวยก็ไม่สวยเปล่า ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอก

"คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติ เพราะเป็นชายาของพ่อ คือเป็นเมียพ่อนั่นเอง แล้วคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน เขาจะช่วยสงเคราะห์ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระให้แม่กับพี่มา"

ผมก็มีความสุข ถ้าหากท่านพ่อกลับ ท่านแม่กับท่านพี่ก็มาอยู่ก็คุยกันแบบคนธรรมดา ผมก็ชอบสวย ๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า

"นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม" ท่านก็ชวนคุย ผมก็มีความเพลิดเพลิน ผมก็มีความสุข

แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก พอจับไปนอนตักรู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มาก และมีความอบอุ่นเป็นพิเศษท่านลูบไปลูบมา ประเดี๋ยวเดียวผมก็หลับ นี่เรื่องของเทวานุภาพ

และวันต่อ ๆ มา บางครั้งบางทีผมอยู่คนเดียว ก็มีความรู้สึกว่ามีลุงคนหนึ่ง ลุงในชาตินี้ท่านตายไปแล้ว คือลุงคนนี้ก่อนที่ท่านจะตาย เมื่อมีชีวิตท่านรักผมมาก และก็เคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า "คนนี้เป็นลูกของฉัน" ท่านไม่มีลูก ท่านพ่อกับท่านแม่ก็อนุญาตขอยกให้เป็นลูก ฉะนั้นในเมื่อท่านตายก็เข้าใจว่าทรัพย์สินบางส่วนอาจจะตกถึงผมก็ได้ และทรัพย์สินส่วนนั้นอาจจะมีอยู่ถึงเวลานี้ก็ได้ ผมเข้าใจว่า "อาจจะ" นะ ก็เป็นอันว่ามีความรู้สึกว่าท่านมานอนใกล้ ๆ

บางทีผมนั่งข้างนอก ท่านมานอนอยู่ในห้องเสียงกรนได้ยิน จำได้ว่า เป็นเสียงลุง กลิ่นตัวได้รับก็จำไม่ว่าเป็นกลิ่นตัวของท่านก็หมดความกลัว

ในเหตุการณ์บางขณะเวลาเดินไปไหน เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ลักษณะเดินชัด กลางวันมองก็ไม่เห็นตัว แต่บางครั้งตอนที่ผมโตไปแล้ว นี่เล่าถึงโตเลยนะ ถึงความเป็นหนุ่มแล้ว ก็มีลักษณะอย่างนั้น บางทีผมก็แกล้งบอกว่า "เอ้า เดินข้างหน้าบ้างซิ เดินข้างหลังอย่างเดียวไง" ก็มีลักษณะเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาไปเดินข้างหน้าแล้วก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง

บางคราวมีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะการคุยหัวเราะต่อกระซิกนี้เป็นลักษณะคล้าย ๆ กับว่าเป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัวความจริง ผมเป็นหนุ่มแล้วผมก็ยังหวาดกลัว แต่ลักษณะของผมเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าลงก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับจะไปไหนต้องไปให้ได้ มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนเดินบอกลักษณะว่ามีคนติดตามก็มีอยู่เสมอ

มีคราวหนึ่งผมเดินไป เดินไปเดินมาอยู่ เดินไปก็มีความหวาดอยู่นิดที่ตรงนั้นมันมืด และก็มีสุมทุมพุ่มไม้ ตอนนี้หนุ่มแล้วนะ พอเข้าเขตนั้นชัดไม่ไว้ใจ ตาก็มองจุดนั้น ไอ้มือหนึ่งก็ดึงปืนมาจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีด คิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน

ก็ผมคิดอย่างนั้นก็เสียงหัวเราะครืนทันที ลักษณะ ๖ คน แต่ถามว่า

"หัวเราะทำไม ใครมา ท่านแม่และท่านพี่หรือ?"
ก็เสียงตอบว่า "ไม่ใช่แม่และก็ไม่ใช่พี่" แต่เป็นเสียงผู้หญิงเสียงเพราะมาก ถามว่า "ใครล่ะ ?"
ท่านก็เลยตอบว่า "น้อง"

ถามว่า "น้องมีกี่คน?"
"น้องลักษณะอย่างนี้มีหลายพันคนบนดาวดึงส์"

ถามว่า "พ่อกับแม่ฉันสมัยนั้นมีลูกเป็นพัน ๆ หรือ...?"
ก็บอก "ไม่ใช่ เป็นลูกคนอื่นที่เอาทำน้อง"

ไม่เข้าใจถามว่า "มาทำน้องอย่างไร?"
ก็บอกว่า "ผู้ชายกับผู้หญิงถ้าแต่งงานกัน ผู้หญิงถือว่าเป็นน้องของผู้ชาย"

"ถ้าเช่นนั้นที่มานี่มาหมดไหม...?"
เขาบอก "มาไม่หมด มาแค่ ๖ คน"

ก็อยากจะดู ถามว่า "รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...?"

ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืด ๆ ก็เหมือนไฟฟ้าสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ร่างกายเธอแต่งตัวเป็นนางฟ้า ไม่ใช่คนแล้ว ถามว่า "สวยไหม...?" ก็ตอบว่า "สวย"

แล้วเขาถามว่า "สาว ๆ ที่เคยไปรักสวยเท่านี้ไหม...?"

ไม่มีใครแตะได้เลย สวยไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยถามต่อ หัวหน้าถามว่า "ถ้างั้นจะแต่งงานกับคนนี้ หรือจะแต่งงานกับสาว ๆ ในเมืองมนุษย์...?"

ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีโอกาสจะแต่งงานกับนางฟ้าได้ก็จะแต่ง"

ทีนี้ไอ้กำลังใจในตอนนั้นบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ความรู้สึกในการรักคนจางลง แต่ไม่หมด แต่ว่ามีความต้องการอย่างเดียวคือ อยากจะมีเมียเป็นนางฟ้า อารมณ์นี้มันขังมาจนกระทั่งในสมัยที่บวช เล่าเรื่องในสมัยหลวงพ่อปาน จึงปรากฏว่าอยากแต่งงานกับนางฟ้า จนกระทั่งเวลานี้ก็ไม่ได้แต่ง เวลานี้ถ้าชวนแต่งก็ไม่ไหวแล้ว เดินก็ไม่ไหว เพียงแค่นึกจะรักอารมณ์ก็ยังไม่ไหว มันเหนื่อยเพราะความแก่

รวมความว่า การตายครั้งแรกของผมนี่ ผมเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษาก็อาศัยคำภาวนา "พุทโธ" โดยไม่ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ ท่านบังคับหรือไม่บังคับ ลักษณะก็ต้องบังคับ แต่การบังคับของท่านเป็นประโยชน์ในเวลาที่ผมตาย ตายไปแล้วเกิดฟื้นใหม่ รู้จักเทวดา ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่าเทวดามีจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ เทวดามี ผมเชื่อ

ความจริงเวลานั้นผมยังไม่เคยฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าเลย การรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ก็แถมเลยอยากจะแต่งงานกับนางฟ้าเสียด้วย นี่เป็นไปมากเหมือนกัน แต่ความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีกิเลส

ก็รวมความว่า การตายคราวนี้ประโยชน์ใหญ่ก็คือ รู้จักเทวดา รู้จักนางฟ้า ไม่สงสัย เวลาที่มาเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เกิดไม่มีความสงสัยในเรื่องเทวดา เรื่องนางฟ้า เพราะยืนยันได้ว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นมาแล้ว

นอกจากนั้นอานุภาพของเทวดาและนางฟ้ายังมีอีก ผมจะเล่าไปมันยาวยืดยาด ก็เลยเล่าไว้ในหนังสือหลวงพ่อปานว่า ท่านย่า ต่อมาตาท่านไม่เห็นเลย

ในเวลานั้นผมก็โตอายุ ๖-๗ ขวบ ก็ปรากฏว่าวันหนึ่งได้ยินเสียงตอนเช้ามืด ย่าท่านชื่อนาค

"นาคเอ๋ย นาค น้ำมนต์พ่อทำไว้บนหัวนอนนะ" ขันล้างหน้าที่จัดให้ท่านเสียงบอกทำเป็นน้ำมนต์
ท่านย่าถามว่า "เสียงใครเจ้าข้า?"
บอกว่า "พ่อคือพระอินทร์ เอาล้างหน้า ๓ วัน ตาจะหายเป็นปกติ"

แล้วก็เป็นความจริง ท่านย่านี่ตาไม่เห็นจริง ๆ แม้แต่มือไปส่องตรงกลางข้างตาท่านก็ยังไม่เห็น ท่านล้างหน้าวันแรก ก่อนล้างท่านก็ว่าอะไรพึมพำ ๆ ผมก็ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ล้างหน้า พอตอนสาย ๆ เขานำอาหารมาให้ ท่านถาม

"นี่กะละมังข้าวใช่ไหมลูก...?" ก็บอกว่า "ใช่"
"อันนี้ชามข้าวใช่ไหม...?" ก็บอกว่า "ใช่"
"อันนี้ขันน้ำใช่ไหม...?" "ใช่"
"นี่สำหรับกับข้าวใช่ไหม...?" "ใช่"
ท่านก็นั่งมองเดี๋ยว ถาม "นี่แกงใช่ไหม?" "นี่น้ำพริกใช่ไหม?" นี่ปลาร้าใช่ไหม?"

ถามเรื่อยไป ถูกต้องหมด ท่านเลยบอกน้ำมนต์ของพระอินทร์นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ย่าไม่เคยเห็นเลย พอวันที่ ๒ ล้างอีกครั้ง ท่านก็เรียกแบบนั้น ๓ วัน ตอนนี้ท่านย่าเห็นหมด อะไร ๆ ก็เห็นหมด หมายความว่าเขานำอาหารมาจากในครัวท่านก็ว่า เออ ลูกคนนั้น หลานคนนี้ เดี๋ยวท่านรู้จัก พอวันที่ ๓ ไกลแสนไกลสายตาเราถึงไหน ท่านมองไปถึงนั่น

นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เรื่องเทวานุภาพมันไม่จำกัดของความดี เราจะไปจำกัดเขตของความดีของเทวานุภาพไม่ได้ อานุภาพท่านเหนือพวกเรามาก

ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่นั่งฟังและเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คำว่าภาวนาว่า "พุทโธ" และการนึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าศึกษามาแล้ว ตามพระธรรมบทหนังสืออื่นก็ตาม จงอย่าคิดว่าเป็นการล้อเล่นของบรรดาพระทั้งหลายที่ท่านรจนาไว้ แต่นี่การหลอกลวงคนจงอย่าคิดว่าพระสูตรไม่มีผล แต่ความจริงพระสูตรนี่องค์สมเด็จพระทศพลสอนคนเป็นอรหันต์นับไม่ถ้วน ชาดกต่าง ๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงเล่าจบ ปรากฏมีมากท่านด้วยกันที่บรรลุอรหัตผล

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เป็นอันว่าการตายครั้งที่ ๑ ประโยชน์ที่จะพึงได้จริง ๆ หนึ่งผมรู้จักพระอินทร์ และทราบว่าพระอินทร์เคยเป็นพ่อมาในชาติก่อน เวลานึกถึงความกลัวขึ้นมา นึกถึงท่านเมื่อไร ท่านปรากฏกายให้เห็นทันที นอกจากนี้รู้จักแม่ในอดีตชาติ หลายแสนชาติมาแล้ว รู้จักพี่ รู้จักน้อง แต่น้องนี่ไม่ใช่ลูกแม่ เป็นลูกของแม่อื่นที่มาสมัครเป็นน้อง หรือว่าไปขอเขามาเป็นน้อง แต่น้องประเภทนี้ไม่ใช่น้องปกติ น้องสามารถที่จะมีลูกทดแทนตัวได้

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่าหนังสือฉบับนี้ก็จะจบลงตอนนี้ อ่านไปประมาณสัก ๒ ชั่วโมงก็จบ อ่านช้า ๆ นะ จบแล้วเรื่องราวของความตายก็ยังไม่จล ต้องคืบหน้าไปหาเล่มที่ ๒ ต่อไป เพราะจะทำต่อไปเกรงว่าเล่มจะใหญ่เกินไป จะหนักใจคนซื้อ เพราะทางวัดไม่ต้องการกำไร ต้องการอย่างเดียวคือเงินหมุนเวียนได้ก็พอ

เมื่อสัญญาณบอกหมดเวลาแล้วก็ดี ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาภิกษุสามเณรที่รักทุกท่าน
 

สวัสดี






ตอนที่ ๑๖ บ้าเรื่องแผ่นดินไหว (ต่อ)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คาสเซทช่วงนี้เป็นช่วงที่ ๔ ของเรื่องบ้า ๆ แต่ว่าหนังสือก็เกือบจะเต็มเล่มอยู่แล้ว ถ้าเหลืออีก ๒ คาสเซท หรืออีก ๒ ชั่วโมงแห่งการพูดก็จบ คำว่า "จบ" หมายถึงจบตอนหนึ่ง ยังไม่จบเลย คือจะทำหนังสือเป็นเล่มไม่โตนัก และเทปเสียงก็มี จากเทปเสียงนี่เอาไปเขียนเป็นหนังสือ




สำหรับตอนนี้ก็ยังขอบ้าต่อไป เพราะครึ้ม ๆ เรื่องบ้า คุยเรื่องบ้านี่มันครึ้มดี นี่ต่อไปเด็ก ๆ อาจจะบอก "หลวงตาบ้ามาแล้ว" เมื่อก่อนนี้เขียนเรื่องใช้ศัพท์ว่า



"ฤาษี" เพราะว่าเวลานั้นมันใกล้วจะตายแล้วเหมือนกัน เล่าเรื่องหลวงพ่อปาน คิดว่าหนังสือนั้นตรงไป "ฤาษี" ไม่มีอาบัติ ถ้าตายแล้วก็แล้วกันไป บังเอิญไม่ตาย ตอนนี้มาใช้ศัพท์ว่า "บ้า" ดีไม่ดีพวกเด็ก ๆ หรือไม่ใช่เด็กอาจจะเป็นพระก็ได้ จะเห็นว่า "ไอ้หมอบ้า" ไอ้เถรบ้านี่มาแล้ว ก็ตามใจ คนเราถ้าไม่บ้าก็ไม่หมดทุกข์ ถ้าบ้ามากหมดทุกข์มาก



ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนดีมีทุกข์มาก เพราะนิยมในเรื่องของทุกข์ คนบ้าเกลียดความทุกข์ (ขออภัยครับ เสมหะมันเล่นหนักต้องเลิกคาสเซทนี้ล่ะ ตอนนี้ต้องพักกันแค่นี้ แล้ววันหลังค่อยต่อไปใหม่)



มาเล่าถึงเรื่องแผ่นดินไหวกันต่อไป บ้าแผ่นดินไหวตามเดิม



หลังจากคืนนั้นมากลางวันไปเที่ยว เขาก็พาไปชมสถานีที่ภูเขาไฟระเบิดอะไรต่ออะไร ผมก็ไม่มีความรู้สึกสนุก เพราะคนแก่หมดสนุก เห็นว่าวัตถุทั้งหมดไม่มีค่า ยิ่งไปฐานทัพเรือเขาเล่าความเป็นมาที่ญี่ปุ่นโจมตี (อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์) ผมเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี่มันยุ่งจริง ๆ มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความวุ่นวาย หาความแน่นอนอะไรไม่ได้



ในเกาะฮาวายนี้ไม่ใช่ของอเมริกัน ไม่ใช่ของคนผิวขาวเดิม ชาวเม็กซิกันที่ในเกาะฮาวายแกใหญ่โตมโหฬารมาก โอ้โฮ..สูงมาก ใหญ่มาก ผู้หญิงก็เหมือนกับพ้อมเคลื่อนที่ แต่เขาบอกผู้หญิงที่นี่ถ้ายิ่งใหญ่ยิ่งโตยิ่งสวย ความสวยเขาวัดกันด้วยความใหญ่โต หลังจากนั้นก็เดินทางไปแคลิฟอร์เนีย
ขณะที่เดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ไปถึงโน่น ก็มีคนมีพระมารับ ขอบคุณท่าน ยังไม่ขอเล่าเรื่องนี้



ต่อมาในตอนเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ฉันภัตตาหารเช้าของอเมริกาก็คือกินกลางคืนของประเทศไทย รวมความว่าประเทศไทยเริ่มค่ำ ที่โน่นก็เริ่มเช้า แคลิฟอร์เนียกับประเทศไทยก็เวลาต่างกันนิดหน่อย ถ้าไปที่ชิคาโกเวลามันจะตรงกันพอดีแม้แต่นาทีของเราเที่ยงวัน ของเขาก็เที่ยงคืน ของเราค่ำของเขาก็เช้าพอดี โมงเช้าของเขาของเราก็หนึ่งทุ่ม



ฉะนั้นผมไปอเมริกาผมก็หม่ำข้าวกลางคืนของประเทศไทยทุกวัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงปรับอาบัติ แต่ท้องมันจะล่อผมเข้า ผมก็ป่วยไปเดินโซซัดโซเซ สัญญาต้องเป็นสัญญา คิดถึงลูกคิดถึงหลานที่อยู่ประเทศอเมริกา เธอดีมาก ฉันข้าวเสร็จผมก็กลับมานอนพัก ตอนก่อนเพล เพราะว่าถ้ารับแขกทั้งวัน ผมก็ไม่ไหว ร่างกายก็ทรงไม่ค่อยไหว ไปพักที่วัดไทยในแคลิฟอร์เนีย



พอกลับมานอนนึกว่าไอ้แผ่นดินที่มันเป็นร่องยาวรอบโลก แล้วลมมันมาจากไหน นี่เป็นความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็นความโง่ของผม เพราะการไปในที่นั่นมันเห็นแต่ร่องแผ่นดินมันใหญ่จริง ๆ มันมีตลอดทั้งโลกในประเทศไทยก็ไม่ใช่ด้อย

พอนอนนึกเท่านั้นก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าท่านลอยอยู่ข้างหน้า ท่านถามว่า "สงสัยเรื่องลมรึ ?"



ก็บอกว่า "สงสัยครับ เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร แผ่นดินมันจะไหวเพราะลมกระทบ ผมก็มองไม่เห็นว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร ลมมันจะพัดไปทางไหน ทางเข้ามันก็ไม่มี"



ท่านก็บอกว่า "ถ้ายังงั้น ตามฉันมาซิ"



ท่านก็พาไปใหม่ ไปที่เดิม ไปเรื่อยเฉื่อย ไปตลอดแนวมันยาวเท่าไหร่ มันยาวไปชนกัน บางทีมันก็ยังแยกอีก ก็แบบแม่น้ำใหญ่ ๆ มันก็แยกเป็นสาย ๆ ก็ต้นทางมันมาจากไหนก็ต่างคนต่างชนกัน มันยาวเหยียดมันใหญ่มาก ทั้งโลกมันก็มี ไม่ใช่มีเฉพาะอเมริกาและก่อนหน้าที่จะไปเป็นปีเดียวกันใช่หรือไม่ใช่ไม่ทราบ เขาบอกว่าที่ แคลิฟอร์เนียแผ่นดินไหว ตึกรามพังกันระเนระนาด หมอบุญเกิด แกถึงได้มาถามว่าจะเป็นอย่างนั้นอีกไหมครับ ก็บอกว่าแผ่นดินอาจจะไหวได้ แต่ที่แคลิฟอร์เนียไม่พังอีกล่ะ ถ้าจะพังก็พังเองไม่ใช่พังเพราะแผ่นดินไหว นี่ตอบไปตามความรู้สึก



เมื่อไปถึงเห็นโคลนมันเดือด ดินปนน้ำ เป็นลักษณะโคลนเดือนปุด ๆ ทั่วไปหมด อาการเดือดของมันก็เป็นไอขึ้นมา บอกว่าลมนี่มันมาจากจุดนี้ ลมมันก็มาจากไอน้ำที่มันระเหยขึ้นมาและมันเกาะตัวมาก ๆ เข้า ก็กลายเป็นลม เป็นลมกระแสใหญ่ ขึ้นมาเป็นลมใหญ่ ลมใหญ่มันก็กระแทกทางโน้นกระแทกทางนี้ ก็ถามท่านว่า



"ลมมันขึ้นมาทีละน้อย ๆ นี่ มันน่าจะไหลไปตามกระแสร่องของแผ่นดิน ซึ่งมันยาวเหยียด ไม่น่าจะมีกำลังแรง และทำไมแผ่นดินมันจึงไหวได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้"



นี่เป็นด้านอารมณ์ความโง่ของผม ผมยอมรับ ท่านก็บอกว่า



"ลมใหญ่มันจะวิ่งไปตามสาย สายของร่องแผ่นดินแตกก็จริงแหล่ แต่ทว่าเธอต้องคิดถึงความเป็นจริงจุดหนึ่ง ซึ่งกระแสลมแรงนี่เขาเรียกว่า ไต้ฝุ่น"



ผมเรียกชื่อกับเขาไม่ถูก ไอ้โซนร้อนโซนหนาวอะไรผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เรียกว่าลมแรง ๆ ก็เหมือนกัน ในมหาสมุทร ถึงแม้ในประเทศไทยเราก็โดน มันมีขึ้นมาแล้ว มันพุ่งชนเรือเขาล่มไปบ้าง ดีไม่ดีเรือสินค้ามีน้ำหนักเป็นแสนตัน ยังหอบเอาไปไว้บนเกาะบ้าง พอชนบ้านเรือนโรงพังไปบ้าง ที่แคลิฟอร์เนียนั่นผมไปชายฝั่งเห็นไม้ไร่หักระเนระนาด บ้านช่องเขาพัง เขาบอกนี่ลมใหญ่ในทะเล มันพุ่งเข้ามาบ้านช่องพัง ท่านก็เลยบอกว่า



"เธอสังเกตหรือเปล่าว่าผิวโลกมันมีความกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน และลมเกิดขึ้นน้ำน่าจะลอยไปบนอากาศ แต่มันไม่ไป กลับไปทิ่มบ้านทิ่มเรือนเขาพัง ทำไมมันถึงเป็นไปได้ ก็ไอ้ใต้แผ่นดินมันมีร่องแคบ ๆ ไอ้ช่องที่อากาศจะลอยตัวขึ้นไป หรือความร้อนจะลอยตัวขึ้นไป ลมจะลอยตัวขึ้นไป มันก็มีน้อย คือว่าเพดานมันต่ำ ในเมื่อมันรวมตัวขึ้นมา มันขยายตัวไม่ทันอย่างในมหาสมุทรมันน่าจะขยายเร็วแสนเร็ว ไปไหนก็ได้ แต่มันไม่ไปมันรวมกลุ่มแล้วก็วิ่งไปชนบ้านชนเรือนเขา



ข้อนี้ฉันใด แม้แต่ลมที่เกิดขึ้นในซ่องแผ่นดินแยกหรือที่เป็นร่องพื้นผิวที่เรานั่งอยู่ มันก็ก่อตัวในลักษณะเดียวกัน ในเมื่อมันรวมตัวกันจัด มันก็พุ่งไปชนทางโน้นบ้าง ชนทางนี้บ้างในช่องแคบจนกว่ามันจะไหลไปทั่ว ๆ ร่อง ก่อนที่จะไปความแรงของมันก็ชนกันเป็นเหตุให้แผ่นดินไหว"



ก็เลยเป็นอันว่าทราบว่าไอ้เจ้าลมนี้มันไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากไอน้ำข้างในมีความร้อนสูง และผมก็ขอร้องให้ท่านไปสำรวจความร้อน ว่าความร้อน จริง ๆ ใต้ผิวแผ่นดิน ที่แผ่นดินเป็นร่อง ใต้ผิวลงไปนะ มันมีความร้อนขนาดไหน



ดูแล้วโอ้โฮ้...ใต้แผ่นดินนี่มันร้อนจริง ๆ มันร้อนจัดมาก ดีไม่ดีนี่เราเผลอเรียกว่า "ไฟนรก" ความจริงมันไม่ใช่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน ถ้านรกอยู่นั่น ผมไปต้องเจอะนรกมากแล้ว



อย่างกับทานพระครูอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนหนังสือมาถามว่า "นรกนี่มันอยู่ใต้ดิน ไอ้ที่พูดว่านรกมันมีอีกโลกหนึ่งน่ะโกหก"

ความจริงผมไม่ได้โกหกท่านและก็ไม่ได้โกหกใคร ผมพูดตามหลักวิชาความรู้ในพระพุทธศาสนา นี่พระพุทธเจ้าก็ดี พระโบราณาจารย์ก็ดี ท่านบอกนรกมันอยู่ใต้ดิน ท่านไม่ได้หมายความนรกอยู่ในดิน ไอ้ที่ผมไปเจอะนี่ความร้อนมันอยู่ในแผ่นดินในส่วนลึกใต้ผืนแผ่นดินลงไปไม่ใช่ใต้ดิน ใต้ดินนั่นก็หมายความว่า นี่นรกที่นั่นต้องไม่มีดินผืนนี้อยู่ และมันอยู่ต่ำกว่า



เป็นอันว่าวันนั้นก็เลยเข้าใจตามความจริงว่าความร้อนใต้แผ่นดินมีมากหนัก และที่ภูเขาไฟระเบิด ก็มีความเข้าใจว่า ไอ้ความร้อนมันกัดหินไปทีละหน่อย ๆ มันมีอยู่ที่ผิวมาก ว่าง ๆ มันก็พุ่งมาสักที ทำไมไม่พุ่งตลอด อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน อย่ามาถามกันนะ ผมไม่รู้ มันไหม้จนหินละลาย ก็ต้องคิด หินละลายเปิดเป็นช่องเป็นปล่องให้มันโผล่ขึ้นมา ความจริงมันน่าจะโผล่มาตลอดปีตลอดวัน มันก็ไม่โผล่ ไป ๆ มันก็จะโผล่ นี่เป็นเพราะอะไรผมไม่เข้าใจเหมือนกัน และก็ไม่อยากจะเข้าใจต่อไป ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะรู้



ก็เป็นอันว่าวันนั้นมีความรู้เรื่องแผ่นดินไหว ว่ามันจากกระแสของไอน้ำกลายเป็นลม เมื่อก่อตัวมาก ๆ ขึ้นมันก็เป็นลมพายุ ทิ่มทางโน้นทิ่มทางนี้ พื้นผิวแผ่นดินที่เราอยู่ ผิวตอนไหนใกล้กับกำลังแรงของลมตอนนั้นก็ไหวมาก ถ้าอยู่ไกลก็ไหวน้อยอยู่ไกลมากความสะเทือนไม่ถึงก็ไม่รู้สึกไหว และผมก็เลยสนใจเรื่องความร้อนในใต้ผืนแผ่นดิน ว่าความร้อนใต้ผืนแผ่นดินนี่ถ้านำมาใช้งาน เผาผลาญน้ำให้เกิดเป็นไอจะมีประโยชน์ต่อโรงงานมาก ก็รวมความว่าเป็นความคิดอย่างโง่ ๆ ของผม



พอเลิกจากเวลานั้นมา วันนั้นไปตั้งแต่เวลา ๒ โมง มีความรู้สึกตัวขึ้นอีก ๕ นาทีพลพอดี ก็มีความรู้สึกเคลิ้มไปนานหน่อย ถ้าจะถามว่าไปอย่างไรก็ต้องตอบว่าเคลิ้มไปก็แล้วกัน พูดอย่างอื่นก็ไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้มีญาณอะไรกับเขานี่ อยู่ ๆ ผมนึกขึ้นมา ผมเห็นภาพพระพุทธเจ้าหรือจะเป็นเพราะความเคลิ้มก็ไม่รู้ และผมก็เคลิ้มผมเรื่อยไปตามเรื่องตามราว ก็รู้เรื่องรู้ราวมาก



อีตอนรู้มาแล้วชักเริ่มสงสัยตัวเอง ตอนนั้นที่มีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเป็นจริงตามนั้น พอรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนจะฉันอาหาร "เอ๊ นี่เรามีความรู้สึกอย่างนี้มันตรงกับความเป็นจริงไหม" ผมก็มีความมั่นใจว่าฝรั่งนี่เขาเป็นคนอยู่ไม่สุข เขาก็พยายามค้นคว้าหาเหตุหาผลตามความเป็นจริงจนได้ เวลาที่ออกไปฉันข้าว ก็พบหน้า ดร.ปริญญา นุตาลัย เธออยู่ ก็เรียกเข้าไปบอกว่า



"ด็อกเต้อร์ ไอ้ที่ผืนแผ่นดินที่มันมีลมขึ้นมา เมื่อกี้ฉันไปเห็นมาแล้วด้วยอาการเคลิ้ม และปรากฏเห็นแผ่นดินมันมีน้ำโคลนเดือนปุด ๆ ๆ ความร้อนมันสูงมาก"



และ ดร.ปริญญา ก็บอกว่า "ฝรั่งเขารู้แล้วครับ"
เธอคงคิดว่าผมอาจจะคิดว่าฝรั่งยังไม่รู้ ความจริงมันไม่ใช่ ผมอยากจะพูดกับเธอก็หมายความว่าผมจะสอบดู ว่าไอ้ความเคลิ้มของผมน่ะมันตรงตามความเป็นจริงไหม ผมเชื่อมั่นว่าฝรั่งเขารู้จริง เธอก็ตอบว่า "ไอ้เรื่องนี้ฝรั่งเขารู้แล้วครับ"



ก็เลยบอก "ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันต้องการว่าฉันรู้ตรงหรือไม่ตรง ยังไง ๆ ฝรั่งรู้ไม่ผิด"

เธอก็บอก "รู้ตรงครับ"



เธอก็พูดต่อไปตามความรู้เดิมของเธอที่ศึกษามาด้านธรณีวิทยาว่า

"ลมที่เกิดขึ้นก็คือไอ้น้ำนี่เอง"



เธอก็พูดต่อไปตามความรู้เดิมของเธอที่ศึกษามาด้านธรณีวิทยาว่า
"ลมที่เกิดขึ้นก็คือไอ้น้ำนี่เอง"



เธอพูดตรงเป๋ง แหมผมก็ดีใจ บอกเออดีจริง ๆ ไอ้ความรู้เคลิ้ม ๆ ของเราก็ไปตรงกับความรู้ของฝรั่ง
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ความรู้ทางพระพุทธศาสนาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจจริง ๆ มันก็ชนกับความจริงได้ ซึ่งเป็นหลักวิชาที่เราไม่ต้องใช้ทุนมากเลย ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน ในประเทศเราเยอะไม่ต้องจ่ายเงินไทยเป็นประโยชน์กับประเทศอื่น กลับมาไม่เป็นประโยชน์ ผมก็เสียดายสตางค์เหมือนกัน




ฉะนั้นการไปของผมคราวนั้นผมคิดว่าคุ้มค่าที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทออกสตางค์ให้ผม ถ้าจะถามว่าเอาเงินที่ไหนไป ปัดโธ่เอ๋ย...คนอย่างผมเป็นหนี้เขาเป็นล้าน ๆ จะมีเงินที่ไหนไป แต่การจะไปทางไหนก็อาศัยความดีของญาติโยมพุทธบริษัทเพราะว่าลูกศิษย์ลูกหลาน ผมไม่เรียกลูกศิษย์ละ ลูกหลานในอเมริกาก็ต่างคนต่างส่งมาเป็นทุนอันดับแรก และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทภายในประเทศเราก็เหมือนกันต่างคนต่างรู้ ต่างคนก็ต่างให้



รวมความว่าการไปคราวนั้นทุกคนต้องเสียค่าเครื่องบินกันเอง แต่ทุกคนก็ดีไปทำงานให้แก่พระพุทธศาสนา สอนกรรมฐานกันด้วยความเต็มใจ ทั้ง ๆ ที่วันเวลาเปลี่ยนแปลงไป



ก็รวมความว่าความรู้พิเศษในพระพุทธศาสนา สามารถตามฝรั่งได้ ที่ว่าตามฝรั่งได้ ถ้าจะถามว่าเราจะรู้ให้ก่อนหน้าฝรั่งได้ไหม มันคงจะได้ครับ แต่ผมไม่อยากรู้ เพราะองค์อื่นท่านอาจจะรู้แล้วก็ได้ แต่ผมน่ะขี้เกียจ ผมมีความรู้สึกกว่าการปฏิเสธร่างกายนี้ ที่เราเห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรามันเป็นของยาก และตั้งใจจะทำใจให้มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอยู่เสมอ ในขณะใดเผลออาจจะคิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ผมกลัวตัวเผลอตัวนี้ดึงไป ไม่อยากเอาจิตใจไปรู้เรื่องอื่น



และความรู้อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเด่น เพราะผมทราบว่าพระในประเทศไทยที่มีความรู้ความสามารถกว่าผมเกินกว่าผมมีเยอะ ที่มีตัวมีตนอยู่เวลานี้มีเยอะ ความรู้อย่างที่ผมรู้นี่ ผมบอกเป็ด ๆ นี่ มันเป็ดจริง ๆ สำหรับท่านพวกนั้น ท่านพวกนั้นท่านมีความรู้ความสามารถดีกว่าผมเยอะ ถ้าผมจะนำความสามารถไปเทียบกับท่าน ผมก็เป็นเป็ดนั่นเอง แต่ว่าจะถามว่าใครผมจะบอกได้ยังไง ในเมื่อตัวท่านเองท่านไม่พูด ตัวท่านเองท่านไม่บอก และผมไม่ใช่ตัวท่านผมจะบอกได้ยังไง



จะถามว่า "เป็นการกีดกันความดีกันหรือ ?"



จะกีดกันทำไม ทุกคนต่างช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงตัว เราไม่ต้องการให้พระพุทธศาสนาสลายตัว ถ้าเราจะปิดกันก็เป็นการช่วยกันกลั่นแกล้งทำพระ-พุทธศาสนาสลายก็แล้วกัน





ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านที่มีความสนใจ เวลาท่านไปหาพระอะไร ท่านก็สังเกตเอาเองก็แล้วกัน การฝึกของท่านจากวิชชาหลักสูตรเป็ด ๆ ที่ผมให้ ก็ต้องใช้กำลังใจนิดหน่อย ถ้าอยากจะรู้อะไร อย่ารู้เอง ทำใจให้สบายว่างจากกิเลสชั่วคราว ถ้าจิตว่างจากกิเลสมีขึ้น ให้ตั้งใจถามพระทันทีว่าพระในประเทศไทยนี่ที่ดีจริง ๆ มีความสามารถเลิศกว่านี้ มีที่ไหนบ้างและท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน มีอายุเท่าไร มีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ชื่ออะไร มีความสามารถขนาดไหน วิชชาสาม หรืออภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ อันนี้ท่านอาจจะรู้ได้ทันที แต่ว่าจงอย่าใช้ความสามารถของตนเองนะ ให้เป็นความสามารถของพระท่าน เท่านี้พอ



หากจะย้อนถามผมว่า "รู้ไหม เห็นไหม ?"



ก็ตอบว่า "บางท่านผมรู้ ไม่งั้นผมจะพูดได้อย่างไร"



แต่ก็น่าเสียดายพระที่พอจะพูดกันได้ท่านก็ตายไปหลายองค์ ท่านที่ตายไปหลายองค์เป็นพระที่มีความสามารถชั้นเลิศ ท่านเลิศทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ผมขอพูดไว้แค่นี้นะ เลิศทั้งศีล ทั้งสมาธิ ปัญญา ซึ่งผมเองไม่สามารถจะตามเข้าไปใกล้แม้แต่เงาของท่าน น่าเสียดายว่าท่านตายไปเสียแล้ว และที่อยู่นี่ก็ยังมี ผมจะพูดได้ยังไงล่ะ



ก็รวมความว่าท่านใช้ความรู้ที่มีน้อย ๆ ของท่านเข้าไปพิสูจน์แล้วไปนมัสการท่าน อย่าลืมว่าพระพวกนี้ท่านไม่นินทาใคร ไม่เมาในความรักในระหว่างเพศ ไม่ติดในสีสันวรรณะ ไม่เมาในความโลภ



แต่ก็อย่าลืมนะเครื่องสังเกต พระที่ไม่เมาในความโลภ คนชอบเอาเงินเอาทองใช้ไปถวายอยู่เสมอ นี่เขามาถวายเป็นปกติจนกระทั่งมากมาย เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่เมา ท่านไม่โลภ ถ้ามีความเมา มีความโลภ คนให้แล้วเขาก็ท้อ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพวกนี้ไม่มีคำว่าพออยู่ในใจ จะหาความพอไม่ได้ ตะเกียกตะกายอยากได้อยู่เสมอ ไอ้ตัวกิเลสมันตัดความดี ญาติโยมเวลานี้ก็หาคนโง่ยาก เวลานี้คนฉลาดเยอะถามว่าคนโง่จะมีไหม ก็ต้องตอบว่ามี แต่ผมไม่ค่อยจะพบคนโง่ พบทีไรเป็นคนฉลาดทุกที ท่านฉลาดอย่างนี้เราต้มท่านไม่ได้ ท่านจึงมีความฉลาด เมื่อความฉลาดมีท่านจึงเลือกเนื้อนาบุญที่ดีควรจะหว่านพืช



ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก" ท่านก็ยังบอกอีกว่า "การหว่านพืชเพื่อหวังผล จะต้องเลือกเนื้อนาดี ๆ ถ้าหว่านในที่ดอนเกินไป ฝนแล้งน้ำเลี้ยงไม่ถึงพันธุ์พืชตายขาดทุน ถ้าหว่านในที่ลุ่มเกินไปน้ำท่วม พันธุ์พืชตายขาดทุน ถ้าหว่านในที่พอดี ๆ ฝนก็ไม่แล้งเกินไป ไม่ตกหนาเกินไป น้ำพอดีพืชก็งามมีกำไร"



ข้อนี้ฉันใด การบำเพ็ญกุศลทำบุญในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน เวลานี้ญาติโยมฉลาด ถึงเวลาทอดกฐิน อะไรก็ดี ออกมาจากกรุงเทพ ฯ กันพรึ่บ ๆ ถึงเวลาทอดกฐินในกาลนั้น โอ้โฮ...ไปทางไหนวันไหน ก็เจอะแต่รถกฐินเป็นขบวนใหญ่ ท่านวิ่งไปไกลแสนไกล โน่น.. ฝั่งแม่น้ำโขงท่านก็ไป ใกล้เขตแดนด้านเหนือจะสุดประเทศไทยท่านก็ไป ใต้สุดท่านก็ไป ท่านไปกันถึงที่สุด



ไอ้การไปแบบนั้นมันต้องเสียค่าพาหนะ ค่าอาหารมาก ค่าใช้จ่ายสูงมากตัวท่านผู้ไปเองก็ไม่มีความสะดวก ต้องนั่งแกร่วไปในรถ ไปถึงที่พักก็ไม่แน่ว่าจะพักที่ไหน ที่พักดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบ บางทีก็ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ที่พักไม่พอก็ต้องปูเสื่อกับพื้นแผ่นดิน กางเต้นท์บ้าง ท่านก็ไปกัน การไปอย่างนั้น ท่านไม่ได้ไปเพราะความโง่ ท่านไปเพราะความฉลาด



ถ้าจะถามว่า "วัดใกล้บ้านท่านไม่มีหรือ"

ก็เป็นอันว่าท่านผ่านวัดไปเลยร้อยวัด และทำไมจึงไม่แวะ ที่ไม่แวะเพราะยังไม่ทราบว่าวัดที่ผ่านไปดีพอที่เขาจะทำบุญไหม อาจจะดีแต่เขายังไม่รู้ หรืออาจจะดีเกินไปเขาทำบุญไม่ไหว หรือกำลังดีหย่อนไปทำบุญไม่ได้ คือไม่พอดีกับกำลังใจ เพราะการทำบุญนี่ก็มีความสำคัญ คือผู้รับกับผู้ให้ต้องผสมผสานกันเป็นอย่างดี



ฉะนั้นการที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตามที่กล่าวนี้ท่านไป ก็ควรจะโมทนา โมทนาคือการยินดีด้วย เราไม่ได้ไปกับท่าน เราก็แย่งความดีท่านมาหน่อย ท่านไม่แหว่ง นั่นคือดีใจกับความดีที่ท่านมีความพยายาม



เป็นอันว่าเวลาที่เหลืออีกครึ่งนาที ความรู้กระทบจิตนี้ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทไม่ต้องไปตั้งใจเพื่อรับการกระทบ ตั้งใจอย่างเดียวคือศีลบริสุทธิ์ ตัดโลภะ ความโลภ ด้วยการคิดที่จะให้ทาน และก็ระงับนิวรณ์ ๕ ประการอย่าให้กวนใจ ทำกำลังใจให้ทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร ๔ รักษากำลังใจดีด้วยการภาวนาตามเวลา ทำปัญญาให้เข้าใจตามความเป็นจริง และทรงอารมณ์สมาธิไว้ให้จิตนิ่ง ๆ ว่างจากกิเลส โดยจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์คือพระพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ท่านที่รับฟังอยู่นี่ท่านรู้จักภาพพระพุทธเจ้าหมด



สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักภาพพระพุทธเจ้าก็จับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเรามีความรักให้เห็นเป็นปกติอยู่ในอก หรือเห็นเป็นปกติอยู่ในสมอง หรือเห็นปกติที่ลอยข้างหน้า ลอยข้างบนก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง จับภาพให้ชัดเจนแจ่มใสตามกำลังที่จะพึงทำได้ และมีความพอใจในภาพที่ในขณะเห็นเพียงเท่านี้ อารมณ์สัมผัสของจิตแบบนี้จะปรากฏกับท่านทุกขณะที่ท่านปรารถนา

เวลานี้หมดเวลาจะพูดเสียแล้วครับ สัญญาณบอกเวลา ๒ เครื่องบอกว่า "หมดเวลาแล้ว" ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟังทุกท่าน





สวัสดี





แหล่งที่มา :

- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม












วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๕ บ้าเรื่องแผ่นดินไหว

เพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็นวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็นตอนที่ ๘ สำหรับการบันทึก และก็การบันทึกนี่อย่าลืมว่า ผมยังอยู่ในการป่วยไข้ไม่สบายอยู่มาก เมื่อตอนเช้าหมอมาให้น้ำเกลือ หมอเขาก็หาว่าผมไม่พัก ผมก็ต้องทนให้หมอดุ เพราะผมก็ไม่พักจริง ๆ เพราะผมเองไม่ไว้ใจในชีวิต ไม่ทราบว่าชีวิตนี้มันจะตายเมื่อไร ก่อนจะตายก็เล่าความเป็นมาสู่กันฟังเสียก่อน เพราะว่าประเดี๋ยวเวลาผมตาย คนนั้นเขียนประวัติ คนนี้เขียนประวัติ ก็อาจจะเขียนไม่ค่อยถูก ไอ้ความกระจุ๋งกระจิ๋งเขียนมาก็จะเป็นการขัดแย้งกัน


ความจริงผมเองผมก็รู้ประวัติผมไม่หมดเหมือนกัน มันจำไม่ได้ครับ เรื่องมันนานมาแล้วและเวลากาลผ่านมาถึง ๗๐ ปี คงจำอะไรไม่ได้ดี บางอย่างน่าจะจำได้ก็จำไม่ได้ เอ้า คุยกันต่อไป



ก็รวมความว่า อารมณ์ที่ท่านฝึกได้แล้วขอเตือนไว้นิดหนึ่ง ยังไง ๆ เราก็หนีนรกกัน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน มันจะหนีพ้นหรือไม่พ้น ก็พยายามวิ่งหนีเข้าไว้ก็แล้วกัน




อันดับแรกอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย ยังไง ๆ เราก็ตายกันแน่



ประการที่ ๒ ก่อนจะตายยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "คนนึกถึงชื่อท่านอย่างเดียวไม่เคยทำบุญทำกุศลอย่างอื่น ตายแล้วไปสวรรค์นับไม่ถ้วน" อย่างน้อยที่สุดเราเผ่นขึ้นสวรรค์ก่อนก็ยังจะดีต่อไปเป็นพรหม ไปนิพพานนั้น ก็ว่ากันทีหลังก็ได้ ยึดสวรรค์เป็นเป้าหมายไว้ก่อน



ทางที่จะไปสวรรค์ได้จริงจังอย่างมั่นคงและไม่ลงอบายภูมิก็คือ ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ศีล ๕ น่ะจริง ๆ ผมคิดว่าควรจะบวกกับ กรรมบถ ๑๐ ถ้าเป็น ศีล ๕ จริง ๆ ยังสร้างความสะเทือนใจแก่บุคคลอื่น และอันดับหลังตั้งใจไว้เพื่อ นิพพาน โดยเฉพาะ



การตั้งใจไว้เพื่อ นิพพาน นี่ผมเคยถาม หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญเรียกว่า "หลวงพ่อสด" ก็แล้วกัน เวลานั้นผมไปหาท่าน ท่านยังไม่ได้เป็นพระครู ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ เมื่อท่านเป็นแล้ว ท่านก็บอกว่าเขาเอาหัวโขนมาตั้งให้ มาสวมให้ แต่ฉันจะไม่เต้นไปตามจังหวะของโขน ฉันจะเต้นตามปกติของฉันตามเดิม พระองค์นี้น่ารักมาก ผมนับถือมาก ท่านเคยบอกว่าควรจะหวัง นิพพาน ผมก็ถามว่า



"คนอย่างกระผมจะไปนิพพานกับเขาได้หรือครับ?"



ท่านก็บอกว่า "เราตั้งใจไว้ก่อน เหมือนกับคนขึ้นยอดไม้ เธอขึ้นต้นไม้ตั้งใจเราจะข้นให้สุดยอด ถ้าบังเอิญเราตั้งใจขึ้นสุดยอดแรงมันไปไม่ถึง มันก็ต้องไปถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นที่พักจนได้ ถ้าเราตั้งใจต่ำ ดีไม่ดีมันขึ้นไม่ถึงเลย"



ท่านบอกว่า "หวังนิพพานก็เช่นเดียวกัน ถ้ากำลังอย่างอ่อนมันก็ไปค้างที่สวรรค์ได้ กำลังอย่างกลางก็ไปค้างที่พรหม ถ้าเราเกิดจิตไม่นิยมมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก หรือไม่นิยมร่างกายด้วยความจริงใจ เราก็ไปนิพพาน"



คติของหลวงพ่อสดนี่ดีมาก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและญาติโยมทั้งหลายพยายามปฏิบัติทำตามไว้เถอะ ตัวท่านตาย แต่ความดีของท่านยังไม่ตาย ผมยอมรับนับถือองค์นี้ท่านดีจริง ๆ วิชาความรู้นี้ผมก็เรียนกับท่านไว้เยอะ ที่นำมาใช้นี่ก็เอาของท่านมาใช้เยอะเหมือนกัน ท่านก็บอกเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของท่าน ท่านค้นคว้าเอามา เป็นพระองค์แรกที่ทำให้คนมีความเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ได้ชัดแจ้งแจ่มใส และเรื่องนิพพานด้วย



แต่ก็น่าแปลก หลวงพ่อสดกับผมก็คล้ายคลึงกันอยู่อย่าง ถูกด่าแหลกเหมือนกัน ด่าท่านเท่าไรท่านก็ยิ้มตลอดเวลา ผมก็เลยจำยิ้มของท่านมา แต่ก็ขอได้โปรดอย่ามาด่าต่อหน้าก็แล้วกัน ไม่แน่ใจจะยิ้มออกหรือไม่ออก ถ้าด่าลับหลังด่าไปเถอะ ด่ายังไงก็ด่าไป อย่าเข้ามาด่าใกล้ ๆ ด่าไกล ๆ ไม่เป็นไร ถ้าด่าให้ได้ยิน ผมประกาศแล้วนี่ไม่ใช่ พระอรหันต์ ผมไม่ใช่พระอนาคามี ผมไม่ใช่พระอริยะ ผมไม่ใช่ผู้ทรงฌาน ผมมีคติอย่างเดียวว่าบวชต้องการนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ก็ช่าง จะไปได้ก็ต้องการจะไปยังไม่ได้ก็ต้องการ เพราะใจมันต้องการมาตั้งแต่กำเนิดเสียแล้วก็อยากจะไป ชาตินี้ไปไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้ ชาติหน้าไปไม่ได้ ชาติโน้นก็ไปได้



และที่เวลาเราเกิดมาเพื่อแก่ กว่าจะแก่ถึง ๗๐ ปีมันใช้เวลานานมาก มันก็ยังแก่มาได้ และเรื่อง นิพพาน ถ้าเราไม่ท้อถอย ทำไมจะไปไม่ได้ ใครเขาจะหาว่าเป็นยังไงก็ช่าง เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าสอนคนให้ทุกคนไปนิพพาน เราก็ต้องการไปนิพพาน อย่างพระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านบอกว่าธรรมะของท่านให้เลือกปฏิบัติที่เห็นว่าควรปฏิบัติ ไม่ใช่ยกมาทั้งกระบิ ไม่ใช่นำหนังสือเล่มใหญ่ ๆ มาก็ทำอย่างนั้นทุกถ้อยคำ ไม่มีผล



และขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรจงอย่าทำตนเป็น "เถรใบลานเปล่า" คือไปที่ไหนก็คุย "ฉันเรียนจบถึงนั่น" "ฉันเรียนถึงนี่" "ฉันเรียนถึงโน่น" แต่เรียนน่ะมันไม่มีผลหรอก มันต้องปฏิบัติ ก็คนที่เขาไม่เรียนเลย เขาไปนิพพานได้ตั้งเยอะ



อย่างสมัยพระพุทธเจ้า ตาสีตาสามาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยแม้แต่พระพุทธเจ้าฟังเทศน์จบเดียวก็มีความเข้าใจ บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ



และตอนนี้ความรู้พระพุทธศาสนาทุกอย่างก็เข้าใจหมด นี่ความรู้จริง ๆ มันมาจากผลการปฏิบัติ ไม่ใช่การเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ที่เรียนหนังสือโดยเฉพาะประกาศตนเป็นผู้นำความดีไปให้ แบกความดีไปให้แต่ในที่สุดตัวเองเละเทะ เลือกไม่ไหวนับไม่ถ้วน



ก็รวมความว่าอย่าประมาท คนที่เขาเรียนรู้มากเขาดีก็มี เขาปฏิบัติจริงก็มี คนที่เรียนรู้มากไม่เอาไหนก็มี คนที่เรียนรู้น้อยมีการปฏิบัติจริงเข้าถึงขั้นสูงสุดก็มี คนที่ไม่เรียนรู้อะไรเลย โผล่เข้ามาปฏิบัติเฉย ๆ ได้ผลสูงสุดก็มี ก็รวมความว่าความดีหรือความชั่วมันอยู่ที่ตัวปฏิบัติ



ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเรายังไม่ตายก็จงอย่าช่วยกันทำบ้านเมืองให้วุ่นวาย ช่วยกันทำบ้านเมืองให้มีความสุข คือคิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ก่อนจะตายจากความเป็นคนเราต้องเป็นคนดี ตายเป็นผีจะได้เป็นผีดี เป็นผีเทวดา เป็นผีพรหม และเป็นผีนิพพาน



หลังจากนั้นยึดความดีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง และก็ปฏิบัติตน ไม่ใจร้าย มีใจเมตตาปรานี ไม่ฆ่าใครไม่ทำร้ายใคร ไม่ลักไม่ขโมย ไม่ยื้อแย่ง ไม่คดโกงทรัพย์สมบัติของใคร ไม่แย่งคนรักของใคร ซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครอง นี่ด้านกาย



ด้านวาจา ไม่พูดคำไม่จริง พูดแต่วาจาจริง ไม่พูดคำหยาบพูดแต่วาจาไพเราะ ไม่พูดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือไม่นินทาเขา พูดแต่วาจาสร้างสรรค์ความสามัคคี ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์ วาจาใดที่เป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเราพูด และก็ไม่ดื่มสุราเมรัย

ด้านกำลังใจ ไม่คิดจะลักขโมยอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ใจไม่คิดเลยไม่คิดจะพิฆาตเข่นฆ่าประหัตประหารใคร ทำความเห็นให้ถูกว่าอันใดสิ่งใดเป็นปัจจัยของความสุขกับเรากับเพื่อนร่วมโลกเราจะทำอย่างนั้น แค่นี้บ้านเมืองจะมีความสุข



การที่จะรักษาพระพุทธศาสนา เวลานี้มีข่าวโครมคราม ๆ เขาบอกว่ากลัวคริสเตียนจะมาแย่งดินแดนพระพุทธศาสนาไป เกรงว่าจะแย่งคนไป ไม่ต้องกลัว กลัวทำไมคนของเรา เราดีเขาเอาไปไม่ได้ แต่เราอย่ากลายเป็นโจรปล้นตัวเองก็แล้วกัน



ก็หมายความว่าวิชาความรู้ที่ผมสอน พวกคริสต์เขามาเรียนกันเยอะ พวกอิสลามก็มาเรียนกันเยอะ และก็ถ้าของเขาไม่มีของเรามี ถ้าบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย แต่ผมน่ะไม่สามารถนะ ผมก็ได้แต่ความรู้เป็ด ๆ แค่นี้แหละ ความสามารถยิ่งใหญ่จริงจังของผมไม่มี ถ้าทุกคนใช้หลักสูตรของวิชชาสามและอภิญญาหก มาใช้เป็นปกติสำหรับพระ ฆราวาสน่ะผมไม่ไปพูดเคี่ยวเข็ญแบบนั้นหรอก พระก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญแต่พูดตามความเป็นจริงว่า



ถ้าเราจะอนุรักษ์พระพุทธศาสนา ให้พระพุทธศาสนาคงอยู่จริง ๆ พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ได้เพราะความเลื่อมใสของคน เพราะชาวบ้านชาวเมืองมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนามีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา มีความเข้าใจว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด สูญหรือไม่สูญ นรกมีจริงไหม นี่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่านรกมีจริงเราอย่าฝืนท่าน หาทางแนะนำญาติโยมพุทธบริษัทให้เห็น นรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยทิพจักขุญาณในหลักสูตร วิชชาสาม ให้เข้าใจว่าตายแล้วไม่สูญด้วยกำลังของ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติ แค่นี้ละครับเพื่อนภิกษุสามเณร พระพุทธศาสนาไม่ไปไหน



ท่านจะเห็นว่าเวลานี้สำนักกรรมฐานเยอะ ทุกแห่งเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง แม้แต่จะอยู่ในป่าในเขา เพราะว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความเข้าใจตามความเป็นจริง เห็นจริงเห็นจังตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ท่านผู้นั้นเป็นเจ้าของถิ่นเป็นเจ้าสำนัก ท่านมีความรู้ความสามารถในการแนะนำ ฉะนั้นคนจึงไปหาท่านมาก



ถ้าบรรดาพระสงฆ์ทุกท่านที่ท่านบอกว่าท่านจะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา ให้ทรงอยู่ไม่มีใครไปแย่งคนไปจากพระพุทธศาสนาได้ ก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับเขา เพียงเอาหลักสูตรวิชชาสามและอภิญญาหกไปใช้พอแล้ว เหลือแหล่ แม้แต่แค่ความรู้เป็ด ๆ อย่างผมได้มากระจุ๋มกระจิ๋ม จะเป็นวิชชาสามจริงก็ไม่ใช่จะเป็นอภิญญาก็ไม่ใช่ อภิญญาไม่ใช่แน่



แต่การเตรียมตัวเพื่ออภิญญาอาจจะมีบ้าง มีก็เป็นสะเก็ดเศษ ๆ เลย ๆ ถึงอย่างนั้นการไปอเมริกาปีที่ ๒ คือปี ๒๕๒๗ ฝรั่งมาปฏิบัติธรรมได้กันเยอะ คล่อง แคล่วมาก ทั้งนี้ก็ต้องขอบใจ ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นคนสอน กับคุณวิรัช คือ พระวิรัช ที่วัดท่าซุงนี่เอง เธออยู่อเมริกามาหลายปีเป็นคนสอน เขาพูดภาษาฝรั่งได้ ไอ้ผมน่ะไม่ได้สักคำ ภาษาฝรั่ง "กิน" เขาก็ไม่เรียกว่า "เจี๊ยะ" ถ้าเจี๊ยะพอเรียกได้ ไม่รู้เขาพูดยังไง กินไม่ถูก ก็ต้องใช้ภาษาใบ้กัน



ฝรั่งมังค่าเขาได้กันเยอะแยะ เขาสอนกันแค่ ๑๐ นาที ระลึกชาติได้ทันที ดร. ปริญญา นุตาลัย เธอยังมีชีวิตอยู่ ใครสงสัยก็ไปคุยกับเธอก็แล้วกัน เธอเป็นคนสอน



และเรื่องการรู้อะไรต่ออะไรเราพิสูจน์กันแล้ว ฝรั่งคนนั้นไม่รู้เรื่อง ถามแล้วแกตอบถูกหมด ไอ้สิ่งที่ถูกไม่ใช่ถูกเฉพาะสิ่งที่เรามองไม่เห็นคือชาติก่อน เอากันชาตินี้ ชาตินี้เวลานี้อะไรอยู่ที่ไหนเธอตอบได้ทันที อันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ของความรู้แต่ความรู้นี่จะยืนยงทนได้นานไม่นานเพียงใดก็ขึ้นกับกำลังใจของเธอ สำหรับผมเองผมก็ไม่ยืนยันเหมือนกัน จะเผลอลงนรกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

วันนี้เฉื่อยไปนะ เวลาหมดไปเกือบ ๒๐ นาที นี่หมดไป ๑๗ นาทีแล้ว ก็เลยจะขอบ้าอีกนิด เป็นบ้าสุดท้ายสำหรับหนังสือเล่มนี้ อันนี้ให้เขาทำเป็นเสียงไว้เล่มละ ๑๐ คาสเซท ถ้าจบ ๑๐ คาสเซทถือว่าหมดเรื่องกันที เป็นเล่มหนึ่งเล่ม แต่ยังไม่จบมันจะมีเรื่อย ๆ ไปจนกว่าผมจะเล่าเรื่องไปถึงตอนผมเกิดโน่น ถอยหลังลงไป และก็ยังจะยาวต่อไปว่าหลังจากที่บันทึกและทำหนังสือนี้แล้ว ไปพบอะไรบ้าง จะว่าต่อไปอีกถ้ามีแรงทั้งนี้ไม่แน่ผมไม่ยืนยันเหมือนกัน เพราะเวลานี้ผมพูด ผมนอนพูดน่ะ มันจะพูดไปได้เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ก็ขอบ้าต่อไป เหลือเวลาอีก ๑๐ นาทีเศษ ๆ บ้าอีกสักคาสเซทหนึ่งคาสเซทนี้ก็เข้าไปค่อนหน้าแล้ว คือว่าขอบ้าเรื่องแผ่นดินไหว



ไอ้คำว่า "แผ่นดินไหว" นี่มันก็เป็นเรื่องพูดกันสั้น ๆ แต่ความจริงต้นเหตุแห่งแผ่นดินไหว ว่าแผ่นดินไหวเพราะอะไร



เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เดือนพฤษภาคม อาศัยที่ลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานที่ประเทศอเมริกาเธอเดินทางมาศึกษาพระกรรมฐานที่ประเทศไทยบ้าง ที่ยังไม่มาก็รับเทปบ้างหนังสือบ้างไปฝึกกันกำลังศรัทธาของเธอดีมาก ผมรับเงินของเธอทีไร กำลังใจเต้นตึ๊ก ๆ ทุกที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทราบว่าทุกคนที่ไปประเทศอเมริกาต้องการจะหาเงินหาทองมาตั้งตัว แต่ทว่าในเมื่อเธอต้องทำบุญ ก็ต้องเชือดเนื้อเถือหนังของเธอ เลือดออกโชก สมมุติเอา เอามาทำบุญ ก็เกรงว่าเธอจะลำบาก แต่ว่าทุกคนก็พร้อมบอกยอมรับว่าตั้งใจจะทำบุญจริง ก็ดีใจ จึงได้เตือนว่าการทำบุญน่ะ ทำแต่พอควรอย่าให้หนักเกินไปจะเดือดร้อนภายหลัง



ต่อมาเธอก็ขออาราธนาไปอเมริกา ใช้เวลา ๓ ปี ผมก็ไม่ค่อยสบาย เลยตัดสินใจว่า ๒๕๒๖ พฤษภา ไปแน่ ตอนนั้นก็ยกโขยงไปประมาณ ๒๘ คน ยังน้อยกว่า ๒๕๒๗ ยกโขยงไป ๔๓ คน นี่ไม่ไปเที่ยวกัน โอกาสจะเที่ยวไม่มี ไปมุ่งอย่างเดียวคือ ธรรมะ รวมความว่า ผมตั้งใจเอาเป็ดไปปล่อยที่อเมริกา เป็ดคือผม คือความรู้เป็ด ๆ เอาไปปล่อยที่อเมริกา



การไปปีที่แล้วทัวร์เขาจัด ให้ทัวร์จัดเขาก็ไปแวะฮาวายก่อน นั่งเครื่องไปฮาวายนี่ไม่รู้ว่ามันมืดเมื่อไร ออกจากไทยไปสิงคโปร์ก่อน ออกจากสิงคโปร์เปลี่ยนเครื่องก็ไปไทเป ไทเปเริ่มค่ำไฟฟ้าสลัว ๆ ออกจากไทเปมุ่งหน้าไปฮาวายเครื่องบินไปได้หน่อยเดียว หยิบนาฬิกาขึ้นมาตี ๒ ของประเทศไทยเห็นแสงสว่างมันลอดเข้ามา ข้าง ๆ เครื่องบิน อะไรกันแน่ ลองเปิดหน้าต่างดูแสงพระอาทิตย์ ตายจริง นี่มันสว่างแล้ว ประเดี๋ยวเดียวเขาเอาอาหารมาเสิร์ฟก็ต้องกิน ก็ต้องใช้เวลาที่มันสว่างที่ไหนกินที่นั่น เขาเลี้ยงเมื่อไรกินที่นั่น จะไปถึงตี ๒ กินยังไง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกตี ๒ พระพุทธเจ้าบอกแสงอาทิตย์ขึ้น อรุณที่ ๒ ขึ้นแล้วก็กินได้ นี่แสงอาทิตย์สว่างจ้าไม่ใช่ที่ ๒ เป็นที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ

พอไปถึงฮาวาย (ขอเล่าลัด ๆ) เขานำไปพักที่พัก ที่พักก็สบายดี เป็นหน้าที่ของทัวร์จะพาเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ วันแรกไปถึงก็งงกันไปหมด คนอื่นงงหรือไม่งงก็ไม่ทราบ ไอ้กลางคืนมันเริ่มเป็นกลางวัน ไอ้กลางวันมันเริ่มเป็นกลางคืน ชักจะยุ่งกันใหญ่ ผมก็นั่งสะสืมสะลืออยู่ในห้องพักแต่ผู้เดียว ตอนเย็น ดร.ปริญญา นุตาลัย เธอก็ไปเช่ารถ รถเก๋งเขามีให้เช่า เขาวิ่งเที่ยว



เธอถาม "หลวงพ่อไปไหม" ผมก็บอกว่า "ไป" ไปไหนก็ไม่รู้ เห็นฝรั่งวิ่ง ครึ่บ ๆ ไอ้ฮาวาย อากาศมันดี ขณะที่นั่งไปก็ถาม ดร.ปริญญา ว่า



"เออนี่ มันยังไงกันแน่ การที่มาคราวนี้เขาช่วยค่าเครื่องบินเธอ เธอก็ไม่รับ เอาไปคืน"



แต่ความจริงไม่ใช่สตางค์ของผม สตางค์ของญาติโยม ดร.ปริญญานี่เธอเคยเรียนที่อเมริกา คล่องแคล่วในประเทศอเมริกามาก ก็ต้องหาคนคล่อง ๆ ไป และก็ได้ประโยชน์ใหญ่จากเธอจริง ๆ ประโยชน์ใหญ่มาก การเดินทางก็ดี การพักผ่อน อะไรทั้งหมด เป็นภาระของเธอ ดีจริง ๆ แม้จะติดต่อการเดินทางไปไหนก็ตามรู้สึกว่า เธอคล่อง แต่ทุกคนก็ดี ทุกคนเขาไม่ชิน ก็มีชินก็คุณวิรัชอีกคนหนึ่งซึ่งกลับมาจากอเมริกา นอกจากนั้นก็มีโยมปรุง ตุงคเศรณี เคยเป็นกงสุลไทยประจำฮ่องกง ก็เข้าใจในภาษาต่างประเทศได้ไดี



ก็รวมความว่า ดร.ปริญญาเธอมีความคล่องตัวมาก เธอก็พาไปเที่ยว นั่งไปก็ถามว่า "เขาให้สตางค์ค่าเครื่องบินทำไมจึงไม่รับ?"



เธอก็บอกว่า "ผมไม่ต้องรับหรอกครับหลวงพ่อ เพราะก่อนหลวงพ่อจะมานี่ ฝรั่งมันจ้างผมให้ค้นคว้าเหตุผลแผ่นดินไหวว่ามันมาจากเหตุอะไร จากธรรมชาติ ไอ้ธรรมชาติทำยังไงแผ่นดินจึงไหว?"



ก็ถามเธอ ความจริงอันนี้ผมก็ไม่รู้จริง ๆ เหมือนกัน เรื่องแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ๘ อย่าง ไอ้กฎแห่งธรรมชาตินี่มันมีอยู่ แต่ธรรมชาติมันทำอย่างไรแผ่นดินจึงไหว อย่าลืมว่าแผ่นดินน่ะไม่ใช่กระต๊อบนะครับ กระต๊อบลมพัดมามันไหวได้ แผ่นดินมันใหญ่มันหนักเหลือเกิน มันไหวเพราะอะไร เธอก็บอกว่า



"เหตุจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ แต่ว่าข้อมูลละเอียดนี่ไม่ทราบ คือว่าแผ่นดินมันมีการแยกตัวเป็นร่องภายในและก็มีลมเกิดขึ้น แผ่นดินก็ไหว"



ก็พูดกันน้อย ๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก ต่อไปก็คุยเรื่องอื่นไป ผมก็ไม่ติดใจเรื่องแผ่นดินไหว รู้ไปแล้วก็แค่นั้น รู้ไปแล้วผมจะไม่แก่ ผมก็แก่ทุกวัน รู้แล้วผมจะไม่ตายเรอะ ผมก็ตาย ผมก็ต้องห่วงผม ห่วงว่ากำลังใจของผมดีหรือเลวขนาดไหน มันจะไปนรกหรือสวรรค์กันแน่ แค่นี้เอง นี่ห่วงจริง ๆ ห่วงตัวเอง พอหลังจากการเที่ยวแล้ว พอค่ำหน่อยก็กลับ



ยังชอบฮาวายว่าเขามีภูเขาเป็นที่อยู่อาศัย บ้านเขาปลูก แหม...กลางคืนไฟฟ้าสว่างพรึ่บสวยงามมาก แล้วหนักใจอยู่นิด ไอ้คนบนยอดเขามันกินน้ำที่ไหน ในกรุงเทพ ฯ เราอยู่พื้นดินแท้ ๆ น้ำยังไม่ค่อยจะมีกิน ไม่สะดวก แต่นั่นที่ฮาวาย ไปตั้งบ้านบนยอดเขา แกต้องกินลมหรือไง อันนี้ผมไม่ทราบ แต่เข้าใจว่าฝรั่งเศคงไม่กินลมคงต้องกินน้ำ



เป็นอันว่าเรื่องนี้ไม่ต้องคิด กลับที่พัก เห็นในห้องเขามีโทรทัศน์ มองดูรายการเห็นมีรายการข่าวก็ลองเปิดโทรทัศน์ดู ผมไม่รู้ภาษาฝรั่งกับเขา ผมเห็นภาพผมก็นั่งเดาเล่นโก้ ๆ พอจบข่าวก็ปิด เพราะลูกตาผมเวลานี้มันเสียซะแล้ว ถ้าดูละครมันมองไม่ค่อยเห็น มันเห็นชัดแต่ข่าวเท่านั้นเอง แต่ข่าวนี่เห็นชัดจริง ๆ



ก็รวมความว่าเมื่อถึงกาลเวลาจะนอนก็นอนลงไป ตามปกติของพระเวลาจะนอนทำอย่างไร ก็ทราบกันอยู่แล้ว ยังไม่นอนหรือนอนก็มีคติคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือทำจิตให้เป็นสุขก่อน พอนอนจับอานาปานุสสติ พอเริ่มจับปรี๊ดเดียว หายใจเข้าไม่ทันหายใจออก เห็นภาพพระ พระพุทธเจ้า ท่านมายืนตระหง่านอยู่ใกล้ ๆ ข้างหน้า สวยงามมาก ในภาพทรงแย้มพระโอษฐ์

นี่ใครจะหาว่าผมบ้าภาพก็ตามใจ ภาพพระพุทธเจ้าผมชอบบ้า ถ้าบ้าเห็นพระพุทธเจ้า ผมอยากบ้าตลอดทุกวินาทีของชีวิตที่ทรงอยู่ และก็ได้ยินเสียงท่านถามว่า



"เธอสงสัยเรื่องแผ่นดินไหวหรือ ?"



ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า "สงสัยพระพุทธเจ้าข้า"



ท่านบอกว่า "สงสัยทำไมจึงไม่ถาม"



ก็ตอบกับท่านว่า "เห็นว่ามันเป็นเรื่องของโลก ไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสารแห่งธรรม ก็ไม่กล้าถามและก็ไม่กล้าจะยุ่ง เกรงว่าจิตจะวุ่นวาย"



ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร มันเป็นสาระไม่ใช่ไร้สาระ"



ท่านบอก "ถ้าอยากจะรู้ก็ตามฉันมา"



ตอนนี้ได้เรื่องแว๊บเดียวลงไปใต้ดินเลย ไปเห็นแผ่นดิน มันเป็นร่องใหญ่ โอ้โฮ! จะว่าเป็นแม่น้ำนี่ไม่ใช่แล้ว บางจุดมันกว้างแบบทะเลน้อย ๆ ไอ้ทะเลใหญ่ ๆ เขากว้างกันเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คือศูนย์ที่กว้างที่ห่างจริง ๆ มันเป็นไมล์ ๆ บางทีถึง ๗ ไมล์ ก็มี กว่าก็มี กว้าง มันเป็นร่องลึกเรื่อยไป ในความรู้สึกว่าผมก็ตามท่านไปเรื่อย ๆ ไปรอบโลก ไอ้รอยแตกของแผ่นดินนี่มันรอบโลกจริง ๆ และก็ในรอยแตกของแผ่นดินนี่ มองดูแผ่นดินข้างใต้มันเหมือนกับดินผสมน้ำเป็นโคลนอยู่ มันเดือน ปุด ๆ ท่านก็เลยบอกว่า



"แผ่นดินจริง ๆ ข้างล่างมันแตกแยกกันอย่างนี้ ร่องมันใหญ่มาก"



งั้นแผ่นดินไหวเกิดจากเหตุนี้ ดร.ปริญญาเธอพูดไว้ตอนนี้ผมก็ทิ้งตอนนี้ เมื่อทิ้งเท่านี้ก็พอดีกลับ กลับจากวันนั้น วันนี้ก็ต้องไปเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลาสัญญาณ ๒ เครื่องบอกเวลาปรากฏว่า "เลิกเถอะ" ก็ต้องขอลาก่อน ไว้ฟังกันคาสเซทหน้า ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านผู้รับฟัง

สวัสดี





แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม






บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก