วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๗ ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ (ต่อ)

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัท เวลานี้ที่พูดนี่ก็ยังเป็นวันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๒๗ ที่บอกไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าพูดตั้งแต่สมัยไหน และต่อไปเสียงนี้ก็จะเป็นเสียงโบราณ ผมอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าตายไปเมื่อไรเสียงยังอยู่ และจะได้ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ดีไม่ดีญาติโยมสมัยหลังท่านเอาไปเปิดให้ฟังจะหาว่าเป็นเสียงปลอม ถ้าบอกไว้ คงไม่มีใครปลอม

วันนี้เราก็มาพูดกันถึงเรื่อง อนาคตังสญาณ


อนาคตังสญาณนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน เป็นทิพจักขุญาณนั่นเอง ก็รวมความว่าเราปฏิบัติในทิพจักขุญาณอย่างเดียว เป็นผลมาจากมโนมยิทธิ เราก็รู้อนาคตได้ อนาคตังสญาณ คือรู้เหตุการณ์ข้างหน้า รู้เรื่องของเราและรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องของสัตว์อื่น รู้เรื่องของสถานที่ และอยากจะทราบว่า (ถ้าเป็นคนไทยนะ) ประเทศไทยข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะหมดสภาพความเป็นไทยไหม ถ้าสงครามเกิดขึ้น (เวลานี้สงครามก็ล้อมรอบประเทศไทย) อ่านหนังสือพิมพ์ ปรากฏว่าญวนยกทัพเข้ามาประชิดไล่เขมร แต่ติดเขตไทย และทางด้านลาวก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ คือกลางแม่น้ำโขง ทางด้านจังหวัดน่าน เขาก็ชิดเข้ามา ทางด้านตะวันตกก็ไว้ใจไม่ได้ ทางด้านใต้ ตะวันตก ตะวันออกก็ไว้ใจไม่ได้ รวมความว่าในทะเลหลวงเราก็ไว้ใจไม่ได้

อยากจะรู้ว่า สถานที่รอบประเทศจะมีอะไรบ้าง เราก็ใช้กำลังของมโนมยิทธิที่เราฝึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิพจักขุญาณดูก็ได้ และดูอนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะวุ่นวายขนาดไหน ด้วยอำนาจทิพจักขุญาณเราก็ทราบ เห็นสถานที่ตั้งได้แต่มันไม่ชัดเจนนัก ทำให้ไม่แน่ใจ ต้องไปให้มันถึงที่โดยใช้กำลังของมโนมยิทธิ ไปในที่ตั้งของเขาเลย เขาตั้งกองทหารอยู่ที่ไหน มีอาวุธอะไรบ้าง และมีกำลังเท่าไร บางทีเห็นแล้วจะตกใจ เพราะอาวุธของเขามากมายเหลือเกิน ของประเทศไทยเรามีไม่มากเท่าเขา แต่กำลังคนไม่สำคัญ ความสามารถสำคัญ ความฉลาดสำคัญ ความสามัคคีสำคัญ ที่เราจะทรงความเป็นไทยไว้ได้หรือไม่ได้เราทราบ เราทราบถึงการปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารข้าศึกว่ามีสภาพเป็นอย่างไร จะสร้างความสบายใจให้ปรากฏ

การพูดอย่างนี้ ไม่ได้สอนธรรมะอย่างเดียว มันเป็นเรื่องประวัติของผมด้วย แต่อย่าลืมนะครับ ไอ้เรื่องการทราบข้างหน้านี่ผมกลายเป็นคนบ้ามาหลายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ผมก็พูดเรื่องน้ำมันในประเทศไทยว่า "ในประเทศไทยมีน้ำมันมากมหาศาล" เวลานั้นกลิ่นคาวน้ำมันยังไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏตามเสียงผมพูดคือ มีเสียงย้อนเข้ามาถึงหูว่าผมบ้า ผมก็เลยนั่งนิ่ง ๆ ใครจะว่าดี ใครจะว่าชั่ว เป็นเรื่องของท่านผู้นั้นจะออกความเห็น เราไปทำลายความเห็นกันไม่ได้ เรามีสิทธิ์จะพูดตามที่เรารูเราก็พูด ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตำหนิจะด่าจะว่าเป็นเรื่องของท่าน ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏขึ้น อย่าลืมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

"นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก

วัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น หิน ปูน เป็นต้น ก็ยังถูกนินทา แม้แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาเองก็ยังถูกนินทา เขานินทายังไม่พอ เขายังด่าพระองค์ต่อหน้าอีกด้วย

ฉะนั้นทุกคนให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปสะดุ้งอย่าสะเทือน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขานินทา เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาติเตียน เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า เราก็ทำตามเรื่อง เราอยากจะทำอะไรตามความรู้ของเรา เราก็ทำ ท่านอยากจะด่าเราตามความรู้สึกของท่าน ท่านก็ด่า ให้เป็นเรื่องของท่านไป

ต่อไปนี้เราก็มาคุยกันถึงเรื่อง อนาคตังสญาณ

อนาคตังสญาณนี่มีประโยชน์มาก ได้รู้วิถีชีวิตของเราเองว่า ข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เวลาที่เรายังไม่ตายปีไหนจะมีสภาพเป็นอย่างไร ปีไหนจะป่วยไข้ไม่สบาย เป็นยังไง จะมีความดี จะมีคนชม จะมีคนติเป็นยังไง ชีวิตเราจะรุ่งเรือง หรือจะซบเซาเป็นอย่างไร เราต้องการรู้ รู้แล้วก็บันทึกไว้อย่าพูดไป รู้ไว้คนเดียว กาลเวลามันยังไม่ถึง ทางที่ดีรู้ยาว ๆ และก็รู้ระยะสั้น ๆ ด้วย

คำว่ารู้ยาวๆ หมายความว่า รู้ข้างหน้าไกลออกไปหลายๆ ปีหรือตลอดชีวิต และก็รู้สั้นๆ ก็วันสองวัน ห้าวันหกวัน เก้าวันสิบวัน นี่สำคัญมาก เป็นเครื่องวัดระยะยาวที่เราเข้าใจ มีความรู้สึกว่ามันจะถูกต้องไหม ถ้าระยะสั้นๆ ถูก ระยะยาวมันก็ถูก ถ้าระยะสั้นไม่ถูก ระยะยาวก็ไม่ถูก นี่ให้มีความรู้สึกตามนี้


และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รู้เรื่องของเราไป ถ้าระยะสั้น ระยะยาวมันถูกหมด เราก็ดูอนาคตไกลแสนไกล นั่นคือ ตายไปแล้วเราตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ก็วัดกำลังใจของเราไว้ด้วย ตายไปแล้ว จะไปสู่สวรรค์ หรืออยู่พรหมโลก หรือว่าไปนิพพาน หรือว่าสถานที่ทั้งสามแห่งนี้ไม่เป็นที่พอใจเรา อาจจะเป็นมนุษย์ หรือว่าจะถอยหลังไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ดูกฎของกรรมที่เราทำมันจะให้ผลไปไหนอันนี้เราก็ทราบ
เมื่อเราทราบเรื่องของเราได้ เราก็ทราบเรื่องของคนอื่นได้ว่าคนที่เราสัมผัสที่เราคบหาสมาคม เขาจะดีหรือเขาจะเลว เวลานี้เขาดี เวลาข้างหน้าเขาเป็นอย่างไร

ไอ้ผมน่ะมันก็เป็นคนจัญไร เรารู้แล้วความจริงเราเฉย ๆ ไว้ดีกว่า ความเมตตาเป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนเหมือนกัน ถ้าเมตตาไม่ถูกทาง และผมก็เคยผ่านมาแล้ว ให้ความเมตตาปราณี แต่ความดีไม่ปรากฏ สิ่งที่สะท้อนย้อนกลับเข้ามาคือเพื่อนเลวไม่ต้องการ พอเขาดีแล้วลืมเฉยอันนี้เยอะ แต่ต่อไปความเร่าร้อนความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจเกิดขึ้น ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น ก็ขอย้อนถอยหลังกลับเข้ามาใหม่ ทีนี้ทำอย่างไร ผมก็รับในฐานะที่ผมคิดว่า "ผมเป็นมิตรที่ดีของทุกคนและสัตว์ทุกประเภทในโลก" ผมถือว่า ผมจะเป็นมิตรที่ดีตามกำลังใจที่ผมจะอดทนได้ แต่ว่าเมื่อการสงเคราะห์แบบนั้นก็เลิกกัน ถืออุเบกขา ถ้ามาถามก็จะบอกว่า ไม่มีอะไรแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างวางหมด ผมก็วางจริง ๆ ครับ วางหมด หมายความว่า ผมไม่ยุ่งกับเรื่องของใคร ใครเขาจะดี เขาจะเลว เป็นยังไง เรื่องพยากรณ์ให้ไม่มีอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมเข็ด

ทีนี้มาเรื่องอนาคตังสญาณของคนอื่น

คือบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่มีกำลังศรัทธาในพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ท่านก็ดีมีหลายประเภท บางท่านก็อาจจะมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านก็นั่งขรึมอะไรของท่าน แต่ละคนจริยาไม่เหมือนกัน บางท่านก็มีความเมตตาปรานีโอภาพปราศรัยดี บางท่านก็เงียบ เราก็ใช้อนาคตังสญาณดูว่า พระองค์นี้ถ้าตายจากความเป็นคนจะเป็นเทวดา หรือจะเป็นพรหม หรือจะไปนิพพาน หรือว่าท่านไม่อยากไป จะถอยหลังกลับไปโลกันตนรก อเวจีมหานรก หรือนรกขุมไหน เป็นเปรต เป็นอสุรกายก็ได้ ใช้อนาคตังสญาณดู


ถ้าดูแล้ว เห็นแล้ว มีความเข้าใจแล้ว บันทึกไว้ วันหลังทำใจให้สบายลืมเรื่องเก่าเสียก่อน ลืมเรื่องที่บันทึกไว้แล้วก่อน รวบรวมกำลังใจไปนิพพาน ถ้าจิตไปถึงที่นั่น มันเป็นอุเบกขาจริง ๆ ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด จิตสะอาดมาก หลังจากนั้นก็ทิ้งเรื่องเก่า กราบทูลถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า คนนั้นต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ชีวิตในความเป็นมนุษย์ ชีวิตเมื่อตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นสมเด็จพระภควันต์ ก็สามารถบอกได้ ท่านบอกได้แน่ ก็มีคนหลายคนที่ท่าทางอีเหละเขะขะ ๆ ท่าทางมองกันแล้วไม่ค่อยดีนัก แต่ความรู้สึกว่าเวลาข้างหน้าคนนี้จะดี แล้วเก็บความรู้สึกไว้ บางทีจะคิดว่าเราจะมีความเมตตาเกินไป แต่ว่าในที่สุดเขาก็ดีตามนั้น
นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าใช้อนาคตังสญาณ ทำบุญจะไม่ผิดบุญ จะไม่ต้องถูกเขาหลอกลวง

ก็เคยพบมามาก ระยะใกล้ ๆ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเอาเงินไปทอดกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง อันนี้ไม่ใช่ทั่วไปนะ อาตมาพบในสถานที่ใกล้จริง ๆ ของอาตมาพอกฐินเข้ามา ผ้าป่าเข้ามา ก็มีเหล้าเต็มศาลา เลี้ยงเหล้าเอะอะโวยวาย ได้รับกฐินผ้าป่าทีละห้าหมื่นหกหมื่นถึงแสนก็มี ผ้าป่าทั้งปีรับหลายครั้งคิดแล้วปีละเป็นแสน แต่ว่าไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาเลย เงินหมด อย่างนี้ชื่อว่าเป็นการทำบุญผิด

ถ้าเราใช้อนาคตังสญาณหรือเจโตปริยญาณก็ได้ เจโตปริยญาณดูกำลังใจของบุคคลผู้รับผลทานจากเรา ที่เราไปทำบุญ หรือถวายเป็นทาน ทอดกฐิน ผ้าป่า แต่ว่าอนาคตตังสญาณดูข้างหน้านี่ เงินจำนวนนี้ถ้าเราไปถวายไว้เงินจะไปไหนบ้าง เราก็จะทราบชัด ถ้ารู้ว่าเงินมันไปผิดทาง เราก็ไม่ให้เสียเลยก็หมดเรื่อง ไม่ทำ
และก่อนจะไปจองกฐิน ก่อนจะไปบุ๊คสถานที่ที่เราทำบุญ เราก็ดูเสียก่อนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำ อันนี้จะมีประโยชน์แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งหมด

แต่อย่าลืมนะ รักษากำลังใจตามที่กล่าวมา ภาพพระพุทธรูปก็ดี ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พยายามทรงเวลาให้มันทรงตัว จังให้ชัดเจนแจ่มใสไว้ อย่าลืม ฝึกกำลังใจให้เห็นชัดทุกวัน ทุกเวลาที่เราต้องการ
ยามว่างเกิดขึ้นเมื่อไรใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมทันที หรือจับภาพพระพุทธรูปแก้วใสที่เราใช้เป็นนิมิตให้ติดตาติดใจไว้ตลอดเวลา มาบอกว่าไม่มี่เวลาจะทำ โถ... ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องใช้เวลามาก นึกเมื่อไรเห็นปั๊บทันที

ยามปกติของผม สมัยที่ผมฝึก ผมเห็นของผมได้ตลอดวันตลอดคืน เว้นไว้แต่หลับ ถ้าเห็นภาพพระในอก เห็นภาพพระคลุมตัวผม ผมจะชื่นใจ จิตมีความสุข และการภาวนานี่ ผมก็แปลกกว่าคนอื่นเขา อาจจะมีคนดีกว่าผมก็มาก นั่นคือเวลาเดินบิณฑบาตแทนที่ผมจะว่า พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น ผมก็ล่อ อิติปิ โสทั้งบท ว่าทั้งบทนี่เราไม่ลืม ต้องพยายามนึกในใจเราเบา ๆ ช้า ๆ ให้เคลื่อนไปจนกว่าจะจบ ตลอดเวลาที่เดินไปบิณฑบาตจนกว่าจะกลับ จนกว่าจะเลิกกลับมาถึงที่ นั่นแหละผมถึงจะเลิกภาวนา อิติปิโส ทำอย่างนี้จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ทรงตัว

เมื่อใช้บทยาว ๆ ภาวนา ธุระที่จะคุยมันก็คุยไม่ได้ ถ้าคุยแล้วภาวนาจะขาดเราก็เลยไม่อยากจะคุย ไม่คุย จิตจะคุมอารมณ์ ผลต่าง ๆ ก็เกิดตามมาหมด ญาณต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น และการจะใช้อารมณ์เข้าคุยกับเทวดาหรือพรหมหรือใครก็ตามจะใช้เวลาได้แบบสบาย ๆ นี่การนึกถึง อิติปิโส กว่าจะไปบิณฑบาตกลับมันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย นั่นหมายความว่า หัดทรงสมาธิทั้ง ๆ ที่มีงาน อันนี้มีความสำคัญมาก นักเจริญสมาธิเฉพาะเวลาสงัดใช้ไม่ได้

ต่อไปเป็น ปัจจุปปันังสญาณ มีประโยชน์ในการที่เราจะรู้ว่า ปัจจุบันใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว มีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ผลงานที่เราสั่งงานไว้ที่โน่นที่นี่ เขาทำดีตามที่เราสั่งไหม หรือว่ามีการบิดพริ้วเป็นประการใด อันนี้มีความจำเป็นบรรดาท่านพุทธบริษัท จำเป็นจะต้องรู้และก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อความเป็นสุขของเรา

ยถากรรมมุตาญาณ เป็นญาณเครื่องบอกให้รู้ว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเสียหายก็ดี การได้กำไรก็ดี ที่ปรากฏขึ้นมาเวลานี้เป็นผลของความดีมาจากไหน นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารวยขึ้นมามีลาภสักการะมาก ลาภเกิดจากผลของอะไร ผลความดีในชาติปัจจุบันหรือผลความดีในชาติที่เป็นอดีต ชาติในอดีต ชาติไหน เราทำอะไรไว้ ภาพนั้นจะปรากฏ ถ้าผลงานมันขาดทุน เราก็ทราบอีกเหมือนกันว่า ขาดทุนเพราะกรรมอะไร เราทำพลาดเพราะใช้ปัญญาน้อยไป ใช้ความละเอียดลออน้อยไป หรือว่ากรรมอะไรที่เราเคยรบกวนเขาไว้ เข้ามาสั่งสม มาทำลาย มาสนองเรา

ความจริง ยถากรรมมุตาญาณมีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย ยถากรรมมุตาญาณก็บอกเหมือนกัน


เราทราบว่าการป่วยไข้ไม่สบายนี้เราไม่ชอบ มันเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียทรัพย์สิน เสียความสุข แม้เราไม่ชอบแต่เราก็ต้องดู อย่าไปนั่งบ่น อย่าไปนั่งว่า ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ากรรมเก่า ๆ หรือกรรมใหม่ที่เราทำไว้

อย่างในสมัยผมเป็นเด็ก ๆ ก็ไม่เด็กนักละ ผมบวชแล้วนะ ก่อนที่ผมจะมีพรรษาครบ ๒๐ พรรษาอยู่ ๔ ปี เวลานั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่ที่หน้าวัด ผมทำงานทั้งวัน งานตั้งแต่เช้า เวลาผมหนุ่ม ๆ ผมทำงานยันกลางคืน ญาติโยมมาหาก็รับแขก ญาติโยมกลับไปแล้วผมก็ทำงาน ทำงานกลางวันไม่เสร็จ ผมก็ทำกลางคืน

เป็นอันว่า วันนั้นมันร้อนจัด ผมทำงานก่อนจะทำวัตรเย็น ผมไปอาบน้ำที่หน้าวัด ลงไปแช่น้ำได้ประมาณ ๕ นาที ร่างกายมันเย็น จิตใจก็ชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะต้องป่วย และต้องนอนที่โรงพยาบาล ๒ ปี ไอ้การนอนโรงพยาบาลนี่ไม่ใช่อาการเพียบแปร้ ไม่ใช่เพียบ แต่ถ้าไม่เข้ามันเพียบ เข้าไปแล้วมันก็สบาย ออกมาเมื่อไรอาการเพียบแปร้อีก อาการจะไม่ซ้ำกัน แต่เข้าไปมันก็สบาย จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี ในตอนต้น อาจจะเข้าบ้าง อาจจะออกบ้าง และก็ต้องไปพักฟื้นอีก ๑ ปีใกล้ ๆ โรงพยาบาล ซึ่งหมอจะติดตามรักษาให้

ความรู้สึกเกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายมีความเย็น ก็เชื่อกำลังใจว่าความจริงอย่างนี้ต้องปรากฏ แต่ว่าคนอย่างผม ไอ้นี่ผมก็ไม่ได้อวดนะ ผมไม่เคยไว้วางใจผมเลย ความรู้สึกของผมไม่ไว้วางใจ ผมปล่อยเวลาทิ้งช่วงไปประมาณ ๑ อาทิตย์ วันหนึ่ง ตอนเข้ามืด ทำจิตตอนตี ๒ เป็นปกติ ผมก็ลุกขึ้นทำกรรมฐานของผม บางคืนผมนอนชั่วโมงเดียว บางคืนก็ไม่ได้หลับนอน เช้าก็ทำงานต่อไป ร่างกายในตอนนั้นมันดีมาก ร่างกายแข็งแรง กำลังก็ดี ไม่เหมือนเวลานี้ เวลานี้วันที่พูดนี่ก็ยังโยเย ๆ เดินก็งง นั่งก็งง นอนก็งง ไม่มีความสุข ร่างกายไม่มีความสุข แต่ใจผมมีความสุข

ถ้าถามว่า พูดได้อย่างไร มันจะแปลกอะไร ผมนั่งไม่ไหว ผมก็นอนพูด ใช้ไมโครโฟนนี่ เวลานี้ผมก็นอน ที่ฟังเสียงนี่ผมนอนพูด ผมตั้งใจว่าขณะใดที่ผมอยู่ในระหว่างธรรมะ ถ้ามันตายเวลานั้นผมพอใจ

ผมปล่อยเวลาไว้ ๑ อาทิตย์จากการรู้ขณะอาบน้ำในวันนั้น ต่อมาตอนเช้ามืดทำจิตสบาย ขึ้นไปกราบถามตรงพระพุทธเจ้า ถามว่าความรู้สึกของผมที่ปรากฏนั้นมันจะตรงตามความเป็นจริงไหม ท่านก็บอกว่าจริง งานการทุกอย่างต้องระมัดระวัง อย่าให้มันยาว เพราะป่วยคราวนี้ ไม่มีโอกาสจะออกมาทำงานได้ต่อไปอีก ท่านก็บอกชัดว่า
"การป่วยคราวนี้ มันเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ตัดงานภายใน และก็จะต้องแยก ยกตัวออกจากวัดไปอยู่ที่อื่น เพราะการป่วยคราวนี้เป็นการช่วยให้ทางจิตดีขึ้น ถ้าขืนอยู่ที่วัดกำลังใจจะไม่ดีขึ้นเลย ผลแห่งการตั้งใจมาก่อนเกิดจะไม่มีผล"

ผมก็ตกใจ ไอ้ผลการตั้งใจมาก่อนเกิดมันจะไม่มีผล ผมก็ถามว่า "ไอ้ก่อนเกิด ผมตั้งใจอะไรไว้" ภาพนั้นก็บอกว่า
"ก่อนเกิดน่ะมาจากพรหม เดิมทีปรารถนาพุทธภูมิตลอดเวลา และมาชาตินี้จะต้องบำเพ็ญบารมีใกล้เต็ม ถ้าใกล้เต็มท่านก็บอกตรง ๆ ว่า มีอายุถึง ๖๐ ปี บารมีพุทธภูมิจะเต็ม และก็จะไปอยู่ชั้นดุสิต แต่ว่าสิ่งที่ตกลงกันมาว่า จะมาลาพุทธภูมิ ลาพุทธภูมิลัดตัดทางไปเลย"

คำว่า "ตัดทางไปเลย" ผมก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นพระอรหันต์ หมายความว่า ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็ช้านานมาก อยากจะลัดไปให้มันใกล้ทางซะ เป็นสาวกภูมิดีกว่า ยังไง ๆ เราก็ต้องมุ่งพระนิพพานเหมือนกันหมด ท่านก็บอกว่า
"ถ้าพูดถึงกฎของกรรม จากการเป็นนักรบ มีการฆ่าเขาบ้าง มีการทำลายทรัพย์สินเขาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎแห่งการฆ่าเขาหนักทั้งสิ้น ต้องมีเหตุให้ต้องนอนโรงพยาบาลจริง ๆ ๒ ปี แต่ว่าไอ้การรบแต่ละครั้งก็ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรานีเหมือนกัน ถ้ายึดพื้นที่เขาได้ยึดคนได้ ก็ให้การเลี้ยงดูปูเสื่อทะนุถนอม ถ้าเขามีความทุกข์ ก็ช่วยให้เขามีความสุข เขาไม่มีกินก็ช่วยให้เขามีกิน ฉะนั้นขณะที่ไปนอนที่โรงพยาบาล คนเก่า ๆ ที่เรารู้จักจะหาไม่ได้ จะมีสักคนสองคน ทุกคนจะไม่มองเราเลย"

รวมความว่าเขาปล่อยให้ตายดีกว่า เขาจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ก็ไม่ทราบนะ นี่พูดเอาเอง แต่ว่าได้รับความเมตตาปรานีจากคนใหม่ คนใหม่ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี ยิ่งการเงิน ขณะที่เข้าโรงพยาบาลจะไม่มีติดตัว จะมีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ บาท ไอ้ ๒๐ บาทนี่มันเป็นเงินประจำกระเป๋า คือถ้าจะไม่มีขนาดไหนก็ตาม จะเก็บไว้ ๒๐ บาทเป็นประจำ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ทำบุญหมด มีความรู้สึกว่า "ชีวิตของเราไม่มีความหมาย ตายแล้วเราเอาไปไม่ได้ ในเมื่อเราเอาไปไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ทำไมให้มาก ทำให้มันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น" ก็เลยทำบุญก่อสร้าง เลี้ยงพระหมด แล้วก็ผลที่สุด ท่านก็บอกอีกว่า
"เราจะไม่เป็นไร เมื่อถูกเขาทอดทิ้งมาก ๆ ความเบื่อหน่ายก็เกิด คนเก่าทอดทิ้ง คนใหม่เขาเลี้ยง อันนี้เป็นกฎของกรรมของการยึดประเทศชาติเขา ทำให้คนเก่าเขามีความลำบาก แต่ว่าเมื่อเรายึดเมืองไหนได้เป็นเชลย เราเลี้ยงเขาให้มีความสุข ฉะนั้นคนเก่า ๆ ที่เราเคยทะนุถนอมบำรุงมา เขาจะหลีก เขาจะไม่มองเรา ไม่มีใครสงเคราะห์

ความจริงบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย ผมก็ต้องนอนป่วยตามนั้นเป็นเวลา ๒ ปี คนเก่า ๆ เป็นทายก เห็นหน้า ๒ คนเท่านั้นไปครั้งเดียว ไม่ได้เยี่ยมนะ ไปขอทรัพย์สินที่มีอยู่ ว่าขอผมเถอะ ผมก็เลยบอกว่า ของทั้งหมดที่มีอยู่ที่วัด เป็นของสงฆ์ ผมออกมาจากวัด ผมไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมคิดว่าเป็นของสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่เป็นเล่ห์เหลี่ยม แล้วจากนั้นมาก็ไม่มีใครอีก แต่ว่าคนใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อุ่นหนาฝาคั่งมาก เข้าไปนอนป่วยในที่นั้น พระที่มาป่วยก็ดี ฆราวาสก็ดี พลอยได้กินอาหาร วันหนึ่งเต็มโต๊ะ โต๊ะใหญ่ ๆ เหลือแหล่ ข้าวของใช้ของกินบริบูรณ์ สมบูรณ์ นี่แหละเป็นผลจากการยึดชาติเขาได้ เราบำรุงเขา

บรรดาท่านพุทธบริษัท ยถากรรมมุตาญาณมีประโยชน์อย่างนี้ และวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว สัญญาณหมดเวลาปรากฏก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน-มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


สวัสดี





แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก