วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๑ ผมบ้า (ต่อ)

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและเพื่อนภิกษุสามเณร วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ถึงแม้ว่าอาการป่วยไข้ไม่สบายจะยังมาก ก็ขอนอนพูด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังไว้เป็นการรักษาอารมณ์ส่วนหนึ่ง


รวมความว่าในตอนนี้ผมก็ยังไม่หมดบ้า มันก็ยังบ้าต่อไป ตอนนั้นก็มาพูดถึงเรื่องน้ำมัน เทวดาท่านบอก ท่านก็ยืนยันว่า

"โลกถ้าใช้น้ำมันอย่างนี้เฉพาะปี พ.ศ.๒๕๑๘ ทั้งโลกใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ น้ำมันก้นประเทศไทยถ้าเจาะลึกถึงที่สุด ถึงทะเลของน้ำมันก็จะใช้ไป ๔,๐๐๐ ปี ยังไม่หมดน้ำมัน และก็น้ำมันจะหมดไปไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์"

และท่านก็บอกต่อไปว่า "ถ้าหากว่าดึงขึ้นมาหมด ประเทศไทยจะยุบเป็นทะเลไปเลย"

ดีมาก ตอนนั้นจะเป็นเมื่อไรก็ช่าง ผมไม่เอาแล้ว ผมก็อยู่ไม่ถึง ผมก็สบายใจ

เมื่อหลังจากคุยกับท่านแล้ว นิสัยของผมมีนิสัยแบบหนึ่ง ท่านพูดให้ฟัง ท่านชี้ให้เห็น แต่ว่าผมฟังคนเดียว ผมเห็นคนเดียว อันนี้ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งต้องหาเหตุให้ได้ในปัจจุบัน ก็ถามท่านว่า

เรื่องน้ำมันที่ท่านบอกมาก็จริง ท่านทำภาพให้เห็นก็จริง ก็เชื่อและ อยากทราบว่าในปัจจุบันนี้มันมีปรากฏอะไรบ้างบนผิวโลก ที่จะให้รู้ว่าน้ำมันมีจริง ๆ ...?" ท่านก็ถามว่า "วันพรุ่งนี้ท่านจะไปชุมพรใช่ไหม?"
ท่านก็ถามผมนะ คำว่าท่านไม่ใช่ผม ก็บอกว่า "ใช่"

ท่านบอกว่า "ถึงจังหวัดชุมพรแล้ว วันที่สามของวันที่อยู่ที่นั่นจะมีคนยืนยันว่ามีน้ำมันอยู่จริง ที่มะริดในเขตที่กะเหรี่ยงอิสระยึดครองอยู่"

ผมก็รับคำท่าน หลังจากนั้นแล้วท่านก็นั่งเป็นเพื่อน ก็มีกลุ่มผู้หญิงสมัยโบราณ ผู้หญิงสมัยนี้เขาจะเป็นคนสมัยไหนผมไม่ทราบ ท่านรู้เรื่องราวต่าง ๆ ว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับเข้ามาสู่ในดินแดนเดิม ทางภาคใต้ก่อนพุทธกาลเท่าไร ทางภาคเหนือก่อนพุทธกาลเท่าไร เป็นระยะก่อนพุทธกาล ๒,๐๐๐ ปีเศษ กับ ๓,๐๐๐ ปีเศษ นี่หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่กลับถิ่นฐานเดิมและก็ผมก็ไม่ได้ถามเธอว่าคนไทยที่ไปอยู่ไกลแสนไกล ไปจากที่นี่หรือถ้าไปมันก็ตายไปหลายชั่วคน แต่ว่าเธอบอกว่าจะกลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานเดิมที่มันมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อนพุทธกาล ๓,๐๐๐ ปีบ้าง หรือก่อนพุทธกาล ๒,๕๐๐๐ ปีเศษบ้าง แต่ว่าคนไทยกลับเข้ามาเวลานั้นก็อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่รวมตัวกัน

ก็รวมความว่า การคุยกันคืนนั้นก็มีทั้งเสียงผู้ชายและผู้หญิง เดิมทีเดียวมีเสียงผู้ชายกับผู้ชาย คือผมกับเทวดา ต่อระยะที่สองก็มีเสียงผู้หญิงกับผู้ชาย คือผมกับพวกนางฟ้า คุยกันไปเข้าใจว่าเสียงผมไม่ดัง แต่ว่าตอนเช้าตื่นออกไป ท่านเจ้ากรมเสริม ท่านคิดว่าพันจ่าคนที่รักษาสถานที่อยู่ ไปตอนเย็นเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน เธอบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นพี่สาวของเธอ การคุยกันคืนนั้นมันจะใกล้สว่างนะครับ คือตั้งแต่ ๕ ทุ่มเศษไปก็ใกล้สว่าง เมื่อใกล้สว่างทั้งหมดท่านก็ลากลับ เป็นอันว่าคืนนั้นทั้งคืนผมก็ไม่ได้นอนหลับ แต่ว่าการที่ไม่ได้นอนหลับ การคุยกับเทวดานี่ไม่เพลีย


ท่านเจ้ากรมเสริมท่านก็บ่น คิดว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน "ไอ้เจ้านี่มันเอาผู้หญิงมานอนด้วย มันคุยกันคืนยันรุ่ง ผมรำคาญไม่หลับเลย"

แต่ความจริงเป็นเรื่องผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านเป็น ท่านเป็นคนที่มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตอยู่ในอารมณ์สงบอยู่เสมอ ไอ้การจะเอะอะตึงตังโครมครามให้ท่านไม่หลับนะ ไม่เคยปรากฏการณ์ ท่านหลับง่าย คนหลับง่ายนี่หมายความว่าเวลาที่จะหลับจริง ๆ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็ไม่หลับ แต่คืนนั้นท่านบอกว่าพันจ่าเอกคนนั้นคุยกับผู้หญิงจนกระทั่งท่านนอนไม่หลับ มันไม่ใช่แล้ว ผิดปกติ และคนชั้นพันจ่ากับคนชั้นนายพล ถ้านายพลไปนอนอย่างนั้น พันจ่าจะคุยให้ท่านนายพลรำคาญ มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุผลไม่พอ แล้วเธอก็นอนในห้องแถวข้างล่างซึ่งไกลออกไป ถ้าคุยแบบนั้นจะต้องตะโกนกันเต็มเสียงจึงจะได้ยินขึ้นมา

ทีนี้มันมีเรื่องอยู่ว่า ผมก็คิดว่าท่านคงได้ยินเสียงผมกับนางฟ้าคุยกันและเสียงมันรอดมาได้อย่างไร ผมว่าผมพูดเบาที่สุด

เพื่อเป็นการเปลื้องความสงสัยก็เลยเรียกพันจ่าคนนั้นขึ้นมา ก็ถามว่า "พ่อคุณ ต้มน้ำร้อนเดือดหรือยัง...?"
เธอก็รายงานบอกว่า "กำลังต้มครับ ยังไม่เดือด"

ก็เลยบอกเธอว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องรีบนะ ต้มตามสบายเดือดเมื่อไรเอาขึ้นมาเมื่อนั้น"

แต่ความจริงผมเป็นคนไม่ติดน้ำร้อน ตามปกติแล้วผมชอบน้ำเย็น แต่ว่าถ้าน้ำเย็นที่สุกแล้วก็จะชอบมาก มันปราศจากโรค เรื่องน้ำชานี่ผมไม่ฉันเลย ท่านจะเห็นว่าผมไม่ฉันน้ำชากับใครเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อบวชใหม่ ๆ ผมก็ชอบน้ำชากับเขาเหมือนกัน ต่อมาเป็นนักเทศน์ ไปไหนก็ต้องหิ้วกระติกน้ำชาไปด้วย ก็เลยมาคิดในใจว่า เราจะมาเทศน์ให้ญาติโยมเปลื้องจากกิเลส แต่เราเองต้องหิ้วกิเลสไปด้วย เลยตัดสินใจวันนั้นว่าเลิกกันเสียที น้ำชาหรือไม่ชา ชาวบ้านเขาไม่กินน้ำชา เขาก็ไม่ตาย ไอ้เราไม่กินน้ำชามันจะตายก็ให้มันรู้ไป เลิกเด็ดขาด เลิก ไม่กินมันเลย ใครเขาเลี้ยงที่ไหนก็ไม่ยอมกิน ก็รวมความว่ากินแต่น้ำเย็นธรรมดา ๆ เมื่อเรียกเธอขึ้นมาแล้ว เธอกลับไปก็เลยถามท่านเจ้ากรมว่า

ผู้ชายที่เสียงเมื่อคืนนี้ เสียงเหมือนคนนี้ไหม?"

ท่านก็บอก "ไม่เหมือน เมื่อคืนนี้มันเสียงใหญ่ครับ ไอ้เจ้านี่มันเสียงเล็กครับ"

ก็เลยบอกให้ท่านทราบว่าความจริงเมื่อคืนนี้อาตมาคุยกับเทวดาองค์หนึ่ง ท่านมาคุยให้ฟังเรื่องน้ำมัน เทวดาองค์นั้นท่านเสียงใหญ่ และก็ต่อมาก็มาคุยกับผู้หญิง พวกผู้หญิงน่ะก็เป็นนางฟ้า เสียงเล็ก เสียงฟังเพราะ ๆ ถามท่านเป็นยังงั้นใช่ไหม ท่าก็บอกว่าใช่ (ก็ต้องขออภัย วันนี้มันจะไอ เกิดไอขัดคอมาเสียแล้ว) ก็เลยเล่าความเป็นมาให้ท่านฟัง เรื่องการสงสัยพันจ่าคนนั้นคุยกับผู้หญิงก็ยุติไป

และต่อมาผมก็เดินทางไป จังหวัดชุมพร สองวันแรกไม่ได้นึกถึงเรื่องน้ำมันเลย ลืมจริง ๆ ด้วยอำนาจเทวานุภาพ ท่านมีอำนาจกว่าเราจริง ๆ ทีนี้ใครว่าเทวดาไม่มีนี่เป็นเรื่องของท่าน แต่ผมกล้ายืนยันว่าเทวดามีแน่ ผมก็ชนทั้งเทวดาและนางฟ้าก็รวมความถึงวันที่สาม วันนั้นคนก็มาก ความจริงคนมากตามปกติ หมู่บ้านนั้นมีคนไม่มากนัก มีไม่กี่หลัง เป็นบ้านเล็ก ๆ ในเมื่อเธอมีศรัทธา ผมก็ไปเยี่ยมเธอทุกปี ปีพ.ศ.๒๕๒๗ ผมเว้นมา ๓ ปีแล้ว ไปไม่ไหว โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก ผมก็แก่ลงไปมาก ไปไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยต้องระงับ ถ้าไปแล้วจะทำหมอเป็นทุกข์ขึ้นมาก เพราะหมอต้องรักษาให้ผม และไอ้ผมเองก็กระโดกกระเดก ๆ ไม่ค่อยหยุด หมอก็คงจะรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ไอ้รักษาคนป่วยประเภทไม่หยุดนี่ หมอรักษายาก ผมก็รู้ตัวมันก็หยุดไม่ไหว
และวันที่สาม ฉันเช้าแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ถาม "เออ คนที่นั่งที่นี่ทั้งหมด ใครเคยไปมะริดบ้าง?"

มะริดเป็นประเทศมอญเก่า เวลานี้เป็นของพม่าก็มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งเธอมาอยู่นานจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอบอกว่าเธอไปทุกปี ถามว่า "ไปทำไม?" เธอก็บอก "ไปซื้อควายมาขาย"
ควายที่มะริดถูก แต่มาขายในประเทศไทยมันก็แพงหน่อยเป็นของธรรมดา เขาต้องเดินป่าตั้งหลายวัน

ถามว่า "ไปที่นั่นเคยได้ยินข่าวไหม ว่าหนองน้ำหนองหนึ่ง (ที่เทวดาท่านบอกเมื่อวานนี้ผมไม่ได้บอกละเอียด) เวลานี้แทนที่จะมีน้ำ มันเป็นน้ำมันทั้งหมดขึ้นมาเต็มหนอง เป็นหนองใหญ่ มีไหม?" เธอก็บอก "มีครับ" ถามว่า "มีอยู่ที่ไหนห่างจากเขตประเทศไทยเท่าไร?"
เธอก็บอกว่า "ห่างจากเขตประเทศไทยไปเดินเท่าไรก็ไม่ทราบผมกะว่าประมาณสัก ๓๐ กิโลเมตร แต่ว่าการไปลำบาก"

ก็อยากจะไปดู เธอบอก "ไปได้ครับ"

บอก "ไปอย่างไร พม่ามันเชือดคอฉันตาย"


เธอก็บอกว่า "พม่าไม่เชือด เพราะที่นั่นเป็นที่กะเหรี่ยงอิสระอยู่ กะเหรี่ยงอิสระคุมและก็ตั้งฐานอยู่ล้อมรอบเขตบ่อน้ำมัน เป็นหนองน้ำมันและก็ตักน้ำมันขึ้นมาใช้เติมตะเกียง"

โอ้โฮ! เขาแน่นอนจริง ๆ ก็รวมความว่าที่เทวดาท่านบอกก็เป็นความจริง นี่จริงจุดหนึ่งผมก็ต้องพิสูจน์แบบนี้ เป็นลักษณะของผม

และในปีนั้นก็เป็นโอกาสไป จังหวัดภูเก็ต คือ พันเอกแพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ บ้านอยู่ภูเก็ต และที่ตรงนั้นอาจจะเป็นบ้านที่ปลูกใหม่ของเธอ เธอก็ชวนไปเยี่ยมจังหวัดภูเก็ต พอไปถึงจังหวัดภูเก็ตบ้านอยู่ชายทะเล สบายมาก ไปกันเยอะ ตอนกลางวันวันหนึ่ง ผมก็เอาเก้าอี้ผ้าใบตัวหนึ่งไปนอนอยู่โคนต้นมะพร้าวชายทะเล ความจริงก็อยู่ในบริเวณบ้านนั้น เป็นความสุขมาก อากาศดีมาก เจ้าของบ้านก็ดี แต่การไปแบบนี้ผมก็สงสารเจ้าของบ้าน ไปด้วยกันมาก แต่ภารกิจของเจ้าของบ้านต้องรับเลี้ยงเราทุกอย่าง ต้องมีความลำบากทุกอย่าง อยากจะไปอีกก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ความจริงการไปนี่มีประโยชน์มาก ไปนอนอยู่ก็มีความรู้สึกว่าในเขตจังหวัดภูเก็ตมันมีของที่มีค่าสูงมาก แต่ว่าวันนี้ก็ไม่ได้คำนึงว่าจะมีอะไรมากนัก หลังจากนั้นเขาก็พาไปเที่ยว ไปที่ไหนทิศไหนผมจะไม่พรรณนา ก็รวมความว่าไปเที่ยวกันรอบเกาะภูเก็ตไปทุกจุดที่มันมีความสำคัญ

ตอนเย็นกลับมาวันหนึ่ง ยังไม่ทันจะใกล้ค่ำทุกคนก็แวะรับประทานอาหารที่ร้านค้า ร้านค้าเขามีเป็นสองจุด เจ้าของเดียวกัน ข้างในมีแอร์และก็มีห้องกระจก หมายความว่ามีหน้าต่างกระจก อีกหลังหนึ่งเขามุงจากเป็นอาคารยาว เอาไว้เลี้ยงพิเศษ เขาก็ไปรับประทานอาหารกันหมด ผมก็อยู่ข้างนอก ผมก็เดินไอ้ที่เขาเรียกว่า เดินจงกรม (จงกรม แปลว่า เดิน) ก็เดินไปเดินมาตามแบบฉบับของผม ทำให้จิตเป็นสุข กว่าจะรับประทานอาหารกันเสร็จก็นาน

ขณะที่เดินอยู่คนเดียวก็ปรากฏว่ามีเพื่อนมาร่วมการเดิน แต่ไม่ใช่เดินกองการกุศลแบบเดี๋ยวนี้นะ เดินจิตเป็นกุศลแต่ไม่ได้เดินบำเพ็ญกุศลแบบเอาสตางค์ไปจ่าย ก็คนเดียวไม่รู้จะจ่ายให้ใคร ไม่มีสตางค์จะจ่ายด้วย ก็มีคนมาช่วยเดิน รูปร่างหน้าตาสวย มองไปทีแรกก็ทราบว่าคนนี้เป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราช ก็คิดในใจว่าเราพบสหายเก่าเข้าแล้ว หลังจากนั้นก็คุยกัน ก็ถามว่า

"ไอ้เกาะภูเก็ตนี่เดิมทีมันชื่ออะไร?"
ท่านบอก "เดิมทีเขาเรียก บูกิ๊ต"

ถามว่า "บูกิ๊ตมันหมายความว่าอะไร?"
ท่านบอกว่า "บูกิ๊ตหมายความว่า ภูเขา คือเป็นเกาะที่มีภูเขามาก"

และถามท่านว่า "หลังจากนั้นเขาเรียกว่าอะไรอีก?"
ท่านก็เลยบอกว่า "เรียกว่า ปาฏลีบุตร"

ก็ถามว่า "ทำไมชื่อเหมือนแขก ไอ้ปาฏลีบุตรนั่นมันชื่อของชาวอินเดีย"
ท่านก็บอกว่า "แขกชาวเมืองปาฏลีบุตรมาขึ้นที่นี่ มาเรือและมาขึ้นที่นี่ มาพักอยู่มาก ต่อมาก็กระจัดกระจายไปนครศรีธรรมราช และขึ้นไปเหนือบ้าง ใต้บ้าง ใช้นามว่าเมืองปาฏลีบุตรสมัยโน้น และต่อมา ๆ คนไทยจึงเรียกชื่อว่า ภูเก็ต"

เดินไปเดินมาก็ถามท่านว่า "ในทะเลภูเก็ต เมื่อตอนกลางวัน มันสงสัยนอนอยู่ที่โคนต้นมะพร้าว และก็มีความรู้สึกว่ามันมีแร่ธาตุที่มีความสำคัญ มันมีจริงไหม?" ท่านบอกว่า "ความรู้สึกของท่านถูก มันมีจริง แร่นี่ท่านบอกว่ามีอานุภาพสูงกว่าแร่ยูเรเนียม คืออานุภาพมันสูงกว่ามาก ถ้าใช้เป็นอาวุธรบก็มีความสำคัญกว่า"
"รวมความว่ารังสีแรงกว่ายูเรเนียมเยอะก็แล้วกัน"

และท่านบอก "แร่จำนวนนี้มันมีมาก มันตั้งศูนย์อยู่ตรงนี้"

ท่านก็ชี้ที่แผ่นดินที่บริษัทเขาขุดแร่กันอยู่ บริเวณปลายศูนย์ข้างนอก หาง ๆ มันทางสายมันอยู่ตรงนี้ และถ้าทำการขุดเรื่อย ๆ ไปมันจะเข้าไปในภูเขาพอจวนจะเขตเขามันเริ่มเข้าถึงแท่งใหญ่ ถ้าลึกเข้าไปจะพบแท่งโตแท่งใหญ่มีปริมาณสูงมาก และท่านก็คุยต่อไปว่า

"แร่ประเภทนี้ถ้าเวลามันหมดสภาพ มันตายแล้วมันจะมีสภาพเป็นเพชร จะเป็นเครื่องประดับผู้หญิง ก็หมายถึงเป็นเพชรนั่นเอง และเป็นของมีค่าสูง" ก็รับฟังท่าน

เมื่อคุยกับท่านก็ถามต่อไป "นอกจากจะเป็นแร่ที่มีความสำคัญมากนี่และมีอะไรอีกบ้างไหม?"

ท่านบอกว่า "ก็มีอยู่เยอะมันก็มีทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะ" ท่านอธิบายให้ฟัง การอธิบายพร้อมกับเห็นภาพเสร็จ ก็รับฟังท่าน ทานพูดต่อไปว่า

"เจ้าแร่ประเภทนี้มันต่างกับแร่ยูเรเนียมอยู่อย่างหนึ่ง แร่ยูเนียมถ้าใช้ในทางสันติ คือเอารักษาโรค มันจะมีความร้อนสูงจึงเอามาเผาโรคมะเร็งกัน แต่ว่าถ้าแร่ประเภทนี้เอามาใช้ในทางสันติ คือในทางการแพทย์ มันจะมีความเย็นแทนที่มันจะร้อน มันจะกลายเป็นความเย็นไป ก็สามารถรักษาโรคได้เหมือนกัน" ก็รับฟังของท่านไว้อย่างนั้น

ต่อมาเมื่อกลับมาถึงที่พักก็มีโอกาสได้นอนเล่นคนเดียว เวลานอนเขาให้นอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับใคร ใช้ใจสบาย ๆ ก็มีความรู้สึกเห็นแร่อีกประเภทหนึ่งมันอยู่ลึกปนกับแร่ดีบุก แต่แร่ดีบุกน่ะมันเป็นผิว เจ้าแร่ประเภทนี้มันลึก เวลานี้การดูดของบรรดาคนทั้งหลายที่ดูดแร่ ไอ้ตะกอนผิว ๆ ของมันมีดินขึ้นมาแล้ว แล้วตะกอนที่ติดมาเป็นของมีค่าสูงมาก แข็ง ใช้เป็นจรวดเสียดสีกับอากาศทนการเสียดสีได้ดีมาก และเป็นของที่มีราคาสูง แต่คนไทยไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือคนไทยยังไม่รู้จัก

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้มีโอกาสไปที่โรงถลุงแร่ ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน คุยไปคุยมากับผู้จัดการใหญ่ ท่านก็เล่าพฤติการณ์ให้ฟัง
ถามท่านว่า "นอกจากดีบุก มีอะไรไหม?"

ท่านบอก "มันมีอย่างหนึ่ง คือสกัดออกไปแล้วมันไม่หมด ดีบุกก็ไม่หมด มันก็ไม่ใช่ดีบุกแท้ เป็นตะกั่วอ่อน ๆ ไม่เป็นตะกั่วแท้ จะทำตะกั่วหลอม ตะกั่วอะไรมันก็ไม่ได้ทั้งนั้น มันเกาะกับดีบุก ก็ไม่หมด ฉะนั้นจะต้องไปซื้อแร่ดีบุกจากจังหวัดจันทบุรี เอามาผสมแล้วก็สกัดถลุงแล้วเป็นตะกั่วเชื่อม เป็นตะกั่วบัดกรี" ท่านเล่าให้ฟัง

เมื่อถามไปถามมาแร่ประเภทนี้มีมากไหม ท่านบอกว่า "มีมาก" ก็ถามว่า "เมื่อก่อนนี้ฝรั่งเขาไม่ต้องการ เดี๋ยวนี้ต้องการแล้วใช่ไหม?"
ท่านก็บอกว่า "ใช่ และเวลานี้ปรากฏว่าถ้าเหลือเท่าไร ถ้าสกัดไม่หมด ถลุงไม่หมด ติดแบบนั้นฝรั่งเขาเอาไปต่างประเทศหมด"

ก็พอดีมีรองผู้จัดการใหญ่ ท่านเป็นอดีตนายทหารเรือ ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์หลวงพ่อทางนี้เถอะครับ ชมข้างในเถอะ" ความจริงท่านจะเล่าอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง อยู่มากด้วยกันท่านไม่กล้าพูด พอเข้าไปแล้วท่านก็บอกว่า

"เราก็ได้แต่ดีบุกเท่านั้นแหละครับ สิ่งที่มีความสำคัญจริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อว่าเราไม่มีโอกาส เพราะเครื่องมือเราไม่มี เราทำไม่ได้เลย เขาเอาไปหมด และปรากฏว่าแร่ประเภทนี้เมื่อก่อนเหลือมากจริง ๆ ไม่มีที่จะกอง ทางโรงถลุงแร่ต้องเอาไปให้ชาวบ้าน เอาไปไหนก็เอาไปเถอะ ชาวบ้านก็เอาไปถมที่ให้มันขึ้น และทราบในกาลต่อมาว่า เมื่อฝรั่งต้องการมาก ๆ ชาวบ้านก็เลยขุดที่ คือขุดแร่นั่นแหละขายฝรั่งต่อไปอีก"

รวมความได้ทราบเป็นพิเศษและต่อมาเมื่อกลับมาพักผ่อน เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเจอะเทวดาองค์นั้นอีก เทวดาองค์นั้นท่านเล่าให้ฟังว่า

"ถ้าอยากจะทราบว่าที่ไหนมียูเรเนียม สำหรับยูเรเนียมนะถ้ามันตายแล้ว มันจะกลายเป็นตะกั่ว ถ้ามันตายไปเร็ว ๆ ตะกั่วนั้นจะใช้เป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบไม่ได้ ถ้ามันตายไปนานแสนนานเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปีนี้ มันจะกลายเป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบ

ก็เลยถามท่าน "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศไทยมันก็มีน่ะซิ?" ท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศทไยมันก็มีน่ะซิ?" ท่านก็บอกว่า "ก็มี ที่ไหนมีแร่ตะกั่ว ที่นั่นเคยมียูเรเนียม และท่านก็ย้อนมาว่า "ท่านเองเคยไปพิสูจน์ค้นพบแล้วใช่ไหม?"
บอก "พบน่ะ มันไม่ไว้ใจตัวเอง"


ท่านก็เลยบอกว่า "ไอ้เรื่องสงสัยน่ะโยน ๆ ทิ้งไว้ซะบ้างสิ เชื่ออารมณ์ จริง ๆ ซะมั่ง" ท่านก็เลยสอนต่อไป


ก็รวมความว่าเลยได้รับความรู้ทั้งยูเรเนียมและก็แร่พิเศษ ไอ้แร่แข็ง ๆ ประเภทนั้นก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร มันอยู่ใต้ระดับดีบุกลงไป แต่ว่าจะอยู่ที่ไหนบ้างผมก็ไม่มีอำนาจบอก เดี๋ยวใครจะหาว่าชี้ให้ขุดอีก แต่ความจริงผมไม่เคยชี้ให้ใครขุด

หลังจากนั้นมา ก็อีกวันหนึ่งก็ไปเที่ยว จะไปที่ปลายเกาะไปดูพระอาทิตย์ตกก็ไปเจอะพวกเจ้าหน้าที่เจาะน้ำมัน เขาเจาะน้ำมันในอ่าวไทย เขาเจาะมาก่อน เวลานั้นเจาะในมหาสมุทรอินเดีย แต่ว่าเป็นทะเลเศรษฐกิจของไทย ก็ไกลออกไปแค่ ๙๐ ไมล์ ทะเลเศรษฐกิจมัน ๑๒๐ ไมล์ คือห่างจากฝั่งไป ๑๒๐ ไมล์ ของเราถ้าเกินไปกว่านั้นถือว่าเป็นทะเลหลวง

เขาก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลานี้ผมเจาะน้ำมันที่มหาสมุทรอินเดียในทะเลเศรษฐกิจอยากจะทราบว่าน้ำมันจะมีไหม?" พอเขาถาม ผมก็เลยถามเขาบ้างว่า "เฉพาะบริษัทของคุณ (อันนี้อย่าถามนะครับ บริษัทไหนผมไม่บอกหรอก) เฉพาะบริษัทของคุณที่เจาะพบแล้ว สำรวจพบแล้วในทะเลในอ่าวไทย คุณพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดใช่ไหม?ฤ เขาบอก "ไม่พบครับ" ก็เลยตอบเขาว่า "ถ้าในอ่าวไทยคุณไม่พบ ในมหาสมุทรอินเดียคุณก็ต้องไม่พบ" เขาถาม "เป็นเพราะอะไร?"
ก็บอกว่า "เพราะคุณพูดไม่ตรงตามความเป็นจริง"

พอพูดเท่านี้ก็ปรากฏว่ามีวิทยุติดต่อเรียกเข้ามาก็เลยให้ลูกน้อง ๒ คนวิ่งไปรับวิทยุ เดิมทีเดียวเขาอยู่ด้วยกัน ๓ คน ต่อมาเมื่อลูกน้องไม่อยู่ก็ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ในอ่าวไทยนี่เขาพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดจริง ๆ และเป็นจุดที่น้ำมันเป็นปริมาณมาก แก๊สตอนนี้เราไม่พูดกัน เพราะแก๊สเป็นของอดิเรก ในเมื่อที่ไหนมีน้ำมัน ที่นั่นก็มีแก๊ส ถ้าเจาะไปไม่ลึกพอที่พบแก๊สก่อน เจาะไปลึกมากก็พบน้ำมันเพราะแก๊สนี่เป็นไอระเหยของน้ำมัน ความร้อนมันสูงภายในมันเผา น้ำมันก็ระเหย มันก็พ่นเข้ามาติดอยู่ เรียกว่าฝาข้างบนก็แล้วกัน ก็เป็นแก๊ส อันนี้เป็นปริมาณมาก และน้ำมันในประเทศไทยจะมีความใสมากกว่าของต่างประเทศ

ก็รวมความว่าเป็นอันว่าได้เรื่องได้ราว เรื่องน้ำมัน ก็เกิดความดีใจ สบายใจว่าสิ่งที่เราถวายพระพรไปกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมันไม่ผิดแน่ ของจริงยังมีอยู่ และสำหรับแก๊สเหลวในกาลต่อมา ผมก็ติดต่อกับคนอีกพวกหนึ่ง ผมจะไม่บอกว่าพวกไหน เพราะว่าถ้าได้แก๊สเหลวหรือน้ำมันที่ผสมกับแก๊ส ว่าฉันมีความรู้สึกว่ามันใสจัด มีความเบาสูง ใสมากเป็นไอระเหย อยากจะทราบว่าความรู้สึกของฉันถูกไหม ถ้าได้เมื่อไรขอให้ส่งมาให้ดูด้วย แล้วคนกลุ่มนั้น (ผมไม่ได้หมายถึงคนกลุ่มเมื่อกี้) ต่อมาเขาก็ส่งมาให้ดู มันตรงกับความเป็นจริงที่มีความรู้สึก และต่อมาได้ไปดูที่มาบตาพุด ที่จังหวัดระยองหรือชลบุรี ที่นี่ก็ปรากฏว่าเป็นจุดตรงกัน

เอาละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทุกท่าน สัญญาณบอกเวลาเตือนวาระที่สอง ก็ขอลาก่อน เอาไว้คุยกันใหม่ในตอนต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก