วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๘ ผลที่ได้จากมโนมยิทธิ (ต่อ)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สำหรับวันนี้ยังเป็นวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ ๔ ของเรื่องประโยชน์ของการเจริญมโนมยิทธิ

ความจริงเวลานี้ คณะสงฆ์ ได้ประกาศให้ทุกวัดเจริญสมาธิกรรมฐานจะเป็นสมถะวิปัสสนาก็ได้ เป็นการเจริญสมาธิ แต่ความจริงผมก็ดีใจที่ผมไม่ต้องรอให้คณะสงฆ์ประกาศ ผมทำของผมมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่หลวงพ่อปานฝึกให้ผมได้บ้างเป็นแบบเป็ด ๆ คือผมมีความรู้ในพระกรรมฐานแบบเป็ด และเป็ดก็ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดไทย บินไม่เก่ง เดินไม่เก่ง เตาะแตะ ๆ ไปตามเรื่องตามราวของผม ผมก็อุตส่าห์นำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้จากมโนมยิทธิมาแนะนำบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา

ความจริงด้าน วิชชาสาม หรือด้าน มโนมยิทธิ ผมปลุกปล้ำมาเป็น สิบ ๆ ปี ญาติโยมก็สมใจบ้างไม่สนใจบ้างผมก็ไม่ว่า ผมไม่เคยว่า ผมไม่เคยเบื่อ และโดยเฉพาะสุกขวิปัสโกญาติโยมสนใจมาก ผมก็เอา ญาติโยมชอบอะไรผมก็ไปแบบนั้น
ที่ไหนญาติโยมต้องการสุกขวิปัสโกผมก็แนะนำด้านสุกขวิปัสโก

ญาติโยมที่ไหนต้องการด้านเตวิชโช ผมก็แนะนำด้านเตวิชโช

ญาติโยมพวกไหนต้องการฉฬภิญโญ อันนี้ผมสอนไม่ได้ ผมสอนได้แต่มโนมยิทธิแบบเป็ด ๆ เรียกว่าพอไปถึงสวรรค์นรกได้ด้วยกำลังของใจ ไม่เอากายเนื้อไป เอากายในไป ผมก็ดีใจ กว่าคณะสงฆ์จะแจ้งมานี่ ผมทำแล้ว แนะนำมาแล้วเกิน ๔๐ ปี ก็รวมความว่า ผมก็ดีใจที่คณะสงฆ์ท่านเห็นชอบด้วย เพราะการเจริญพระกรรมฐานได้ประโยชน์ใหญ่จริง ๆ เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ฟัง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านมาสัมมนาพระสังฆาธิการที่วัดนี่ ผมก็บังเอิญได้รับการแต่งตั้งเป็น พระสังฆาธิการ คือเป็นเจ้าอาวาสแบบเป็ด ๆ อีกนั่นแหละ ความจริงตำแหน่งนี้ผมโยนทิ้งมาทีหนึ่งแล้ว และตำแหน่งต่าง ๆ ที่พึงได้ผมโยนทิ้งหมด ผมไม่เคยสนใจเพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แต่ตอนนี้เป็นการบังเอิญว่า "วัดนี้ผมสร้าง ผมหนี้ไม่ได้ ถ้าวัดนี้ผมไม่ได้สร้างนะ ผมหนีไปแล้ว"


ความจริงวัดนี้ เดิมทีมันมีสภาพเป็นวัดร้าง ออกพรรษามีเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว วัดก็มีแต่ทรุดโทรมมาตามลำดับ ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่หายไป พระพุทธรูปก็หมดไป ฝากุฏิดี ๆ ก็หมดไป ของดี ๆ มีไม่ได้ก็หมดไปทั้งนั้น ก็รวมความว่าจะถึงวาระร้างอยู่แล้ว ผมก็โด๋เด๋ ๆ มาตามเรื่องตามราว แต่บังเอิญญาติโยมมาสนับสนุน ทีแรกคิดว่าจะทำนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเปิดเข้าถ้ำเข้าป่าไปเลยดีกว่า ผมว่าอย่างนั้น แต่ญาติโยมหลายท่านสนับสนุนเอาสตางค์มาให้ผมก็ไปไม่ได้ ไปก็เป็นขโมยเงินเขาละซิ ถ้าจะวางให้คนอื่นสร้างก็มีหวัง ไม่รู้จะวางให้ใคร ดีไม่ดีไปวางให้โจรเข้าปล้นเงินบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผมก็พลอยตกนรกไปด้วย ทีแรกก็ตัดสินใจว่าทำแค่นั้นเสร็จก็จะไป ในเมื่อไปไม่ได้ก็สู้ คำว่าสู้นี่ไม่ใช่ไปสู้ไปตีกับเขา สู้กับกำลังศรัทธาของญาติโยมพุทธบริษัท เอาไงก็เอากัน วัดนี้ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นี่อาศัยมโนมยิทธิช่วย อาศัยกรรมฐานช่วย อันนี้เป็นตัวอย่าง
และก็มีหลายวัดที่พระท่านมาฝึกได้ออกไป มีคนเขามาแจ้งให้ทราบว่า พระองค์นั้นพระองค์นี้มาฝึกมโนมยิทธิจากหลวงพ่อแล้ว มาถึงวัดท่านรุ่งเรืองจริง ๆ วัดของท่านสง่างาม คนเข้าช่วยเหลือในการก่อสร้างเพราะพระกรรมฐานเป็นปัจจัย

แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมว่าความสะอาดของจิตของพระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธเจ้าท่านไปไหนท่านไม่เคยอด พระพุทธเจ้ามีพระมากเท่าไรก็มีที่พักมีอาหารฉัน เพราะจิตของท่านสะอาด พวกเราความสะอาดของจิตไม่เท่าพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมก็ไม่สะอาดสะเอิดน่ากลัวจะลูบพอลื่น ๆ กระมั้งจิต คงจะไม่มีสภาพจิตแจ่มใสเป็นดาวประกายพรึก ถ้าจิตเป็นดาวประกายพรึกนี่เป็นจิตของพระอรหันต์ ผมก็ไม่รู้จิตผม ผมไม่ค่อยสนใจ จิตใจของใครเวลานี้ผมไม่สนใจใครทั้งหมด

เมื่อก่อนนี้ผมก็แบบเดียวกับเลขานุการเอกสิงคโปร์ที่ประจำประเทศไทยลูกศิษย์พลเอกทวนทอง สุวรรณทัต นั่นแหละ ปรากฏว่าเจอะใคร ได้ยินชื่อใครไม่ได้ ล่อปั๊บทันที ได้ยินชื่อปั๊บอันดับแรกใช้เจโตปริยญาณก่อน ดูจิตของคนนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร ดูไปดูมา อย่าลืมว่าในเวลานั้นผมก็เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ เวลานี้ตัวใหญ่ก็เป็นเป็ดไทย ไม่ใช่เป็ดเทศ เป็นเป็ดตัวเล็ก ๆ ไปเจอะเอาพระองค์สำคัญเข้า พระองค์นี้สำคัญมากจริง ๆ พอเขาบอกชื่อปั๊บผมก็จับจิตทันที โอ้โฮ..องค์นี้ประวัติเบื้องหลังใช้อตีตังคสญาณยาวเหยียด ยาวนี่ไม่ใช่เลวเหยียดนะ ดีเหยียด ตั้งแต่บวชมาธุดงค์ตลอดมา เวลาที่ใกล้พรรษาที่ไหนขออาศัยวัดจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เดินธุดงค์ต่อไป และกำลังใจของท่านเวลานั้นท่านสูงมาก สูงกว่าผม

ความจริงเวลานั้นผมยังหนุ่มอยู่ และผมก็เป็นเป็ดที่เดินตัวเล็ก ๆ เดินเตาะแตะ ๆ เดินก็จะชน จะล้ม ไปดูใจท่านเข้าปั๊บ ท่านปิดทันที มืดตื้อเลย อันนี้เป็นเครื่องวัด ผมเชื่อมั่นเลยว่าพระองค์นี้ดีจริง ๆ ถ้าไม่ดีจริง ๆ ปิดไม่ทัน อารมณ์ใจนี่ มันรู้กันง่าย ๆ เมื่อไร ใครเขานึกอะไรมานี่ใครจะรู้ นี่พอเรานึกปั๊บท่านปิดปุ๊บ หันมาเลย ยิ้ม ท่านพูดเรื่องอื่นอยู่ หันมาพูด
"คนเรามันก็แปลกนะ ไอ้คนอื่นเขาได้ก็คิดว่าตัวจะได้บ้าง มันไม่มีทางจะทำกันได้"

คำว่า ไม่มีทางทำกันได้ หมายความว่า รู้ไม่ได้แน่ ฉันจะปิด เท่านี้ผมชื่นใจ ผมกราบได้ทันที กราบด้วยความสนิทใจว่าท่านเก่งจริง ๆ อาการเก่งอย่างนี้ตามสันนิษฐานของผมว่า พระองค์นี้ต้องไม่ใช่อภิญญาหก เข้าใจว่าจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณ เพราะคุยกันอยู่แท้ ๆ คนตั้งเยอะ เรานึกปั๊บปิดปั๊บทันทีแล้วหันมายิ้มเลย นี่เก่งจริง
ความจริงในประเทศไทยเราอย่างนี้มีเยอะ ในกรุงเทพ ฯ ก็มี อย่าไปนึกว่า พระในกรุงเทพ ฯ ไม่ดีนะ มีดีนะเยอะเชียว จะไปชนพระดีตาย

แต่ความจริงพระดีท่านไม่โอ่โถงนะ เราไปคุยกับท่านแบบธรรมดา ๆ ดีไม่ดีจะคิดว่าไอ้หลวงตากุ่ย ๆ องค์นี้ไม่มีความหมาย

ระวังให้ดีนะเพราะพวกนี้ท่านไม่มีอะไรจะอวด เพราะความจริงมหาเศรษฐีจะนำทรัพย์ไปอวดขอทาน มันก็ไม่ได้ประโยชน์ และขอทานแกจะมีอะไรมาเบ่ง พระดี ๆ ก็เหมือนกับที่ผมเข้าไป ท่านก็ทำจ๋อง ๆ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะผมเป็นสภาพขอทาน ขอทานคือความดีผมมีนิดเดียวกระจุ๋มกระจิ๋ม ๆ ก็ไอ้เดินเปาะแปะ ๆ และจะไปชนกับพระที่มีความดีได้อย่างไร ท่านก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาอวด ท่านก็เลยเก็บเงียบทำเหมือนคนไม่มีอะไร นี่เป็นความดีของท่าน เราดีไม่เท่าท่าน ท่านก็ถ่อมตัวลงมา เป็นความดีที่ควรบูชา

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บรรดาทางราชการมั้ง เห็นพระท่านว่านะ พระท่านบอกว่าทางราชการขอให้พระอบรมศีลธรรม แต่ความจริงเรื่องอบรมศีลธรรมนี่นิมนต์ผมไปไหนผมไม่ไป และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรหลายวัดบอกให้ไปพูดที่นั่นพูดที่นี่ อย่าให้บอกเลยครับ ผมไม่ไปแน่นอน ถ้าขืนไปแล้วมันไม่ได้ประโยชน์ โทษก็เกิดกับผมด้วย นั่นคือผมป่วยไข้ไม่สบาย แก่แล้ว เวลาจะพักผ่อนก็ไม่มี เวลาไปถึงที่ก็ให้นั่งแกร่วรอถึงเวลาพูด พูดแล้วก็นั่งแกร่วอีก ไม่มีเวลาพักผ่อน อันนี้มันไม่ไหวจริง ๆ

และอีกประการหนึ่งการพูดไม่มีผล ผมเทศน์มาตั้ง ๒๐ ปี ไม่เคยมีญาติโยมเลิกสุรา ไม่เคยดีขึ้นเลย ไปเทศน์ทีไรก็แค่นั้น ไปทีไรก็แค่นั้น ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นรับจ้างเทศน์ไป บางแห่งเขารู้สึกว่า ผมไปรับจ้างเขาเทศน์ ไปเทศน์เอาเงิน ผมก็เลยท้อใจไม่เกิดประโยชน์

ก็เลยมานั่งคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรหนอจะสนองคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ กลับมาใหม่ มาว่ากันเรื่องพระกรรมฐาน จึงมาพิจารณาด้านสุกขวิปัสสโก ผลน้อยอีก ญาติโยมทำได้ ญาติโยมมักจะคุยกัน ว่านั่งนานเท่านั้น นั่งนานเท่านี้ อารมณ์แบบนั้นอารมณ์แบบนี้ไม่จริง และรักษาอารมณ์ได้ไม่จริง ก็เลยคิดว่าจะสอน สองในวิชชาสาม และก็มโนมยิทธิ ที่ว่าสองในวิชชาสามเป็นฌานโลกีย์ เป็นสมาธิ ต่ำ ๆ ความจริงไม่ถึงฌาน สองในวิชชาสามนี่ขึ้นด้วยอุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงฌานสมาบัติ ก็ผมบอกแล้วนี่ว่าผมเป็นเป็ด (มันจะไออีกแล้ว) ไป ๆ มา ๆ ก็มาจับได้สองในวิชชาสาม โยมเอาไม่ได้อีก หาวิธีการต่าง ๆ หลายอย่างหลายแบบ ให้สร้างพระพุทธรูป เพ่งพระพุทธรูป ดูพระแก้ว ดูพระทอง ก็ไม่ไหวอีก ไปไม่รอด ไปไม่รอดทำอย่างไร หันมาจับ มโนมยิทธิเถอะ มโนมยิทธิตามกำลังที่ผมศึกษามา ยังไง ๆ โยมรับไม่ไหวแน่ เพราะต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามากไม่เหมาะกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็ไม่เหมาะกับพระที่บวชใหม่ ๆ ใช้เวลาน้อย ๆ ในที่สุดก็มาหาทางให้ง่ายให้เร็วตามที่ฝึกอยู่เวลานี้กว่าจะค้นพบก็นาน


ทีนี้การฝึกมโนมยิทธิมีประโยชน์แบบไหน

มโนมยิทธินี่เป็นจุดบังคับจริง ๆ ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงที่มาฝึกนี่ผมก็ไม่มั่นใจว่าท่านจะรักษาได้ทุกคน มีบางรายให้ไปแล้วสูญ ทำได้แล้วกลับไปบ้านไม่กล้าทำ เพราะไม่มีครูสอน อันนี้เราก็ไม่ได้ติกัน เพราะอะไร ความเข้มแข็งของจิตที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "บารมีไม่เสมอกัน" ท่านมีกำลังต่ำแค่นั้น เราจับโยนขึ้นไปที่สูงยอดไม้ ท่านก็หล่น บางรายทำไปได้แล้ว ไปปล่อยให้เฝือ แล้วบอกไปที่บ้านมันไม่สว่างไสว คือไม่สามารถจะทำได้ให้แจ่มใสเหมือนเมื่ออยู่วัด อันนี้ก็ทราบได้ว่ากลับไปบ้านท่านไปทำศีลขาดตามเดิม ท่านไม่ทรงความดีเหมือนที่ปฏิบัติอยู่ที่นี่ ปฏิบัติอยู่ที่นี่ท่านรักษาความดีไว้ได้ สภาพของจิตยังสดใส อารมณ์ยังเป็นโลกียวิสัยนี่มันไม่ทรงตัว แต่ว่าส่วนใหญ่ดีมาก เพราะอะไร เป็นกฎตายตัวของมโนมยิทธิที่ต้องทำมันก็ตรงกับที่คณะสงฆ์ขอร้องมา
มโนมยิทธิจริงๆ ที่จะให้ทรงตัว ฟังตามนี้นะ ญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่นั่งฟังก็ดี คือว่าจะให้ทรงตัวจริง ๆ ต้องเอาอุทุมพริกสูตรมาอ่านกันว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ผมจะเล่าโดยย่อ ๆ

สำหรับด้านสะเก็ดพระพุทธเจ้าพูดไว้มาก ผมย่อเอา คือ

๑. เราไม่สนใจจริยาของใครเลย ๒. ไม่โอ้อวด
๓. ไม่ยกตนข่มท่าน

๔. ไม่ถือตัวเกินไป

เอาย่อ ๆ เท่านี้ ความดีขนาดนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สะเก็ด ยังไม่ใหญ่โต เข้าไปเกาะสะเก็ดนิด ๆ ของพระพุทธศาสนา อันนี้ต้องสังเกต ถ้าใครปฏิบัติไม่ได้อย่างนี้ก็เกาะสะเก็ดไม่ได้ไม่ต้องไปดูต่อไปแล้ว ญาติโยมที่รักษามโนมยิทธิไว้ได้ดี ท่านรักษาไว้ได้ดี
และอันดับที่สอง การเข้าถึงเปลือก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

๑. เราต้องไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. ไม่ยุยงให้บุคคลอื่นทำลายศีล

๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว


ก็รวมความว่าเราจะรักษาศีลให้ครบถ้วนแจ่มใส และหลังจากนั้น จิตมีความเข้มแข็งสามารถระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใดที่เราต้องการ ไอ้นิวรณ์กับปฐมฌานเป็นศัตรูกัน ถ้าขณะใดอารมณ์ของนิวรณ์นิดหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งมีขึ้นในจิต เวลานั้นกำลังของสมาธิจะสลายตัวทันที เวลาใดที่จิตระงับจากนิวรณ์ นิวรณ์ไม่ฟู สงบ เวลานั้น กำลังจิตเป็นสมาธิ เป็นปฐมฌานทันทีเหมือนกัน โดยไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้านิวรณ์ไม่ฟูขึ้น ปฐมฌานก็เข้ามา ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็ไป แลกกันไปแลกกันมาอย่างนี้

และประการต่อไปอาการที่จะทรงตัวเมื่อมีความแจ่มใสของจิต จิตจะผ่องใส ต้องการรู้ ต้องการเห็นอะไร เมื่อไร ได้ทันทีทันใด และก็มีสภาพไม่ผิด แจ่มใสด้วย นั่นก็คือพรหมวิหาร ๔

พรหมวิหาร ๔ คือ

๑. เมตตา ความรัก มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะรักคนรักสัตว์เสมอด้วยตัวเรา เราอยากจะฆ่าตัวเราไหม ไม่มีใครอยากฆ่า อยากจะขโมยของเราไปทิ้งไหม เราไม่มี รวมความว่าเราจะรักเขาเป็นมิตรที่ดีสำหรับเขา ถ้ามีโอกาสเราจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะพึงทำ เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อบุคคลอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย ใครเพลี่ยงพล้ำเราไม่ซ้ำเติม เราวางเฉย

อารมณ์อย่างนี้บรรดาพุทธบริษัท พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้าประจำใจไว้เสมอ ศีลก็บริสุทธิ์ ทาน จาคะก็สมบูรณ์แบบ และก็สมาธิก็ตั้งมั่น วิปัสสนาญาณคือปัญญาก็แจ่มใส เพราะอารมณ์ใจเยือกเย็น เป็นกำลังใหญ่ตัดโลภะ ความโลภ ตัดโทสะ ความโกรธ ตัดโมหะ ความหลง จิตจะสะอาดอยู่ตลอดเวลา จิตมีความเยือกเย็น อารมณ์เป็นฌานตลอดเวลา ต้องการจะรู้อะไรขึ้นมาระงับนิวรณ์เสียปั๊บเดียว มีความรู้สึกจิตแจ่มใสสะอาดทันที ทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์จะมีความทรงตัว ไม่มีการเสื่อมคลาย ไม่มีการถอยหลัง อันนี้ญาติโยมพุทธบริษัทได้ดีมาก เยอะ รักษาอารมณ์ทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกเข้าถึงเปลือกที่พระองค์ทรงสอน แต่ว่าเปลือกความดีที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำได้เยอะจริง ๆ รักษาไว้ได้ดี ทำให้โลก ทำให้ประเทศชาติมีความเยือกเย็น มีความสามัคคีกัน มีศรัทธาปสาทะดี

และต่อไป ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ นี่เข้าถึงกระพี้ ถึงแม้จะเป็นการระลึกชาติแบบเป็ด ๆ เขาก็ทำกันได้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย บางท่านฟังแล้วจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม หาก็หาไปเถอะ แต่อย่าลืมคนเขาทำได้ เวลานี้ เวลาฝึกครูเขาฝึกกัน ผมไม่ได้ฝึกเอง ผมเป็นแต่เพียงประธาน นอนเป็นประธานอยู่ที่นั่นบ้าง นอนเป็นประธานอยู่ที่กุฏิบ้าง บางทีหายใจครอก ๆ ทำท่าจะตายบ้าง บางทีก็นั่งโงงเงง ๆ

อย่างเมื่อสองวันนี่ เมื่อวานกับวันนี้โงงเงงบอกไม่ถูก วันที่ ๑๗ กับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ มันจะทรงตัวไม่ไหว วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ชาวสามพรานมา ๗๐ คนกว่า ลงรับไม่ได้ มันรับไม่ไหวจริง ๆ ทรงตัวไม่ได้ วันที่ ๑๘ ดีอยู่พักหนึ่ง ตอนเย็นชักจะไม่ไหวอีกเหมือนกัน เวลานี้ก็เลยต้องนอนพูด สบาย พูดมันไปอย่างนี้ ถ้ามันจะตายระหว่างธรรมะก็ยอม อันนี้ประโยชน์ใหญ่

สำหรับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติ ญาติโยมก็สามารถทำกันได้ อย่าลืมว่าครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์คงจะไม่ใช่หงส์ แต่ดีไม่ดีลูกศิษย์อาจจะเป็นหงส์ก็ได้ อย่างท่าน โลลุทายี ท่านไม่เอาไหนแต่สามารถแนะนำให้พระทั้งหลายสามารถไปได้ดี เขาไม่ได้เรียนมาจากท่าน เขาเรียนมาจากพระพุทธเจ้า แต่ว่าบางรายท่านก็ทำเขาเปิดไปเหมือนกัน

สำหรับท่าน โลลุทายี ท่านไม่ใช่เป็ด ท่านเป็นท่าน อย่างท่านจักขุบาลนี่ท่านเป็นวิสัยสุกขวิปัสสโก แต่พระที่อยู่กับท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณกันเป็นแถว นี่จะถือว่าครูเป็นเป็ด แล้วลูกศิษย์จะเป็นเป็ดเสมอไปไม่ใช่ ครูเป็นเป็ด ลูกศิษย์อาจจะเป็นหงษ์ทองก็ได้ ฉะนั้นผมก็ในขั้น อักขาตาโร ตถาคตา การประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร ผมมีหน้าที่บอกเท่านั้นเอง ผู้รับฟังอาจจะทำได้ดีกว่าผู้บอกเยอะแยะไป ถมเถไป เป็นอันว่ากระพี้ในพระพุทธศาสนา ญาติโยมก็สามารถทรงตัวได้

ต่อมาแก่น จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพจักขุญาณ ท่านก็ทำกันได้ดีอีก และต่อมา ปัจจุปันนังสญาณ อตีตังสญาณก็ดี ทำกันได้ดีมาก ดีจนกระทั่งไปเจอะพระในนรก เป็นพระช้างสีดอซะด้วย และก็โลกันต์บ้าง อเวจีบ้าง และก็ไปเจอะพระในปัจจุบันนี่ใกล้ ๆ ในสวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง เลยพรหมไปบ้าง ทำให้กำลังใจญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงในความดี และก็สลดหดหู่ท้อถอยในความชั่ว อย่าลืมว่าทุกคนยังเป็นปุถุชน ยังไม่หนักแน่นนัก อาจจะพลาดได้ แต่พลาดน้อยดีกว่าพลาดเป็นปกติ คำแนะนำที่ให้แนะนำไว้เป็นปกติก็คือ

๑. ทุกคนจงอย่าลืมความตาย และตายแล้วไม่ใช่ตายสูญ ตายสูญอีกศาสนาหนึ่งไม่รู้ศาสนาไหน ได้ยินเสียงทางวิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง หนังสือบ้าง "ตายแล้วสูญ" ก็เป็นเรื่องของท่าน เราอย่าไปตำหนิท่าน เมื่อท่านจะสูญก็เป็นเรื่องของท่าน พวกลูกศิษย์พระพุทธเจ้า "เราไม่สูญ" เพราะว่า เขาได้อตีตังสญาณถอยหลัง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณถอยหลัง เขารู้เขาเคยเกิดมาแล้วตั้งหลายแสนวาระ หลายแสนอสงไขยกัป เขาก็ยังไม่สูญ อนาคตังสญาณ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเพื่อนภิกษุสามเณรสามารถพิสูจน์พระที่ใหญ่ ใหญ่โดยฐานะ ใหญ่กว่าตัวท่านเอง ฐานะสูงกว่า อันดับไหนก็ตามว่าจะไปทางไหนเขาทราบ และปัจจุปปันนังสญาณไปชนกันในนรกเลย และสามารถคุยกันได้ รู้ปฏิปทาความชั่ว เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ทำให้ทุกคนทราบและเกิดความกลัวว่าถ้าเราทำอย่างนั้นบ้าง ก็ต้องมีโทษอย่างนี้ อันนี้ก็ต้องเป็นอนาคตังสญาณ พิสูจน์ตัวเองว่าถ้าทำอย่างนั้นจะไปที่ไหน ขอทราบได้อีก

ตอนนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นเหตุให้บรรดาพระก็ดี ฆราวาสก็ดี ที่เขามีความมั่นคง เอาเฉพาะคนที่มั่นคงนะ ที่เลอะเทอะมาประเดี๋ยวไปน่ะ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บางทีมาคืนเดียวไป ผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า มาประเดี๋ยวดียวจะได้อะไร และก็มา ๆ ไป ๆ ประเภทมาคืนเดียวนี่ผมไม่สนใจ ไม่สนใจเพราะท่านไม่เอาจริง แต่ใช้เวลา ๖ - ๗ วัน มันเป็นของไม่หนัก ชีวิตของท่านทั้งชีวิตอยู่ไปอีกนาน แต่เวลาว่าง ๕ - ๖ วันว่างไม่ได้ผมก็ไม่สนใจ ถ้าใครมาอยู่เพื่อปฏิบัติ ๓ - ๔ วัน ๕ - ๖ วัน ถึง ๗ วัน ผมสนใจเป็นพิเศษ บางทีผมป่วยไข้ไม่สบาย ผมคลานต้วมเตี้ยม ๆ ไปให้กำลังใจลงไปสอนเองให้กำลังใจ คนอย่างนี้ท่านดี
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และก็วัดหลายวัดที่ได้รับความรู้นี้ไป ทำให้วัดเจริญรุ่งเรือง คนที่เขารู้เหตุรู้ผล รู้กฎของบุญ รู้ผลของบุญ รู้ผลของบาป เขาก็ละความชั่วเข้ามาทำความดี วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการทำความดี เป็นอันว่าประโยชน์ของมโนมยิทธินี้ประโยชน์ใหญ่มาก ทำให้คนมีความเข้าใจ ตั้งใจในเขตแดนของความสงบสุข และก็ปลดเปลื้องความทุกข์ คือ ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่ผู้อื่น

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน สำหรับประโยชน์แห่งการเจริญ มโนมยิทธิก็ยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน


สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก