วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตอนที่ ๑๓ บ้ายูเรเนียมและทองคำ

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน สำหรับวันนี้ยังเป็น ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ การป่วยไข้ไม่สบายของผมก็ยังเป็นปกติ เมื่อเช้านี้หมอให้น้ำเกลือไป ๑,๐๐๐ ซี.ซี. แต่ว่าอาการทางร่างกายยังโลเลอยู่มาก วันนี้ถ้ามีการขากเสลดกระแหร่แอมไอก็ต้องขออภัยด้วยเพราะยังอยู่ในระหว่างการป่วยไข้ไม่สบาย แต่พูดวันนี้ก็ขอเล่าเรื่องความบ้าของผมต่อไป "แต่ว่าวันนี้จะเป็นการบ้าเรื่องแร่ยูเรเนียม"

ความจริงเรื่องแร่ยูเรเนียมนี่ผมก็ไม่เคยสนใจว่าในประเทศไทยจะมีหรือไม่มี แต่ความจริงทรัพยากรต่าง ๆ นี่ผมไม่เคยสนใจเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทำจิตมีกังวล แต่ว่าถ้ามีอะไรกระทบใจเข้าหน่อยหนึ่ง ใจมันก็รู้ของมันไปเอง อาการอย่างนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท จงอย่าคิดว่าเราดีเลิศประเสริฐแล้ว ความรู้สึกหรือคำว่า ทิพจักขุญาณ ที่เราได้ ๆ กันนี่มันเป็นเศษผง ๆ เล็ก ๆ ที่พระอรหันต์ท่านได้เท่านั้น แต่ก็ยังดีถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้อย่างเป็ด

สำหรับเป็ดที่เดินได้ บินได้ ดำน้ำได้ ว่ายน้ำได้ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือว่าเป็ดที่เขาทำหลอกไว้ ยังไง ๆ ก็ยังรู้จักคำว่าเดินเป็นยังไง ว่ายน้ำเป็นยังไง ดำน้ำไม่หมดตัวจุ่มแค่หัวก็ถือว่าเป็นการดำน้ำ บินก็ได้ถึงบินสูงไม่ได้ก็รู้จักการบิน ร้องเสียงถึงจะไม่ดังก็ยังรู้จักการร้อง ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือเป็ดปูนปลาสเต้อร์ เป็ดปูนซีเมนต์หรือเป็ดแกะสลักไม้ ซึ่งใช้อะไรไม่ได้เลย

ก็รวมความว่าการฝึกทิพยจักขุญาณของพวกเรา ค่อย ๆ ทำไปอย่าประมาท จงอย่าคิดว่าเราดี เราดีเสียแล้วนี่ไม่ถูกต้อง

ถ้าหากว่าท่านจะถามว่า "ความรู้สึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

ความจริงผมอยากจะพูดให้ฟัง อยากจะปรารภความจริงว่า พวกท่านนี่หรือบรรดาญาติโยมทั้งหลายนี่เก่งกว่าพวกผมมาก การฝึกวิชานี้มาจาก หลวงพ่อปาน แต่ความจริงวิชานี้จริง ๆ นะครับ ผมเริ่มได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี เมื่อความรู้สึกเกิดขึ้นจะถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และก็ไปนอนบ้านไหนคืนแรกจะพบว่าคนบ้านนี้ตายไปแล้วกี่คน และทรัพย์สมบัติมีที่ไหน อะไรบ้างที่มีความสำคัญ แต่ที่รู้นี่ผมก็ไม่ได้ทำให้รู้ มันรู้ขึ้นมาเฉย ๆ สำหรับคนตายเวลากลางคืนเขามาแสดงตัวให้ปรากฏ เขาก็บอกเขาชื่อนั้นชื่อนี้เป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน และก็บอกฐานะความเป็นอยู่ บอกทรัพย์สินนี่เขายังให้ไว้ไม่หมด ลูกหลานยังไม่ทราบ บอกให้บอกด้วย นี่มันก็เป็นความรู้สึก แต่ว่าถ้าคนที่ตายไปแล้วเขาแสดงภาพให้ปรากฏ ผมก็ไม่ทราบว่าได้มาจากอะไร

แต่เหตุที่จะพึงทราบได้ในชาตินี้คือว่าท่านแม่บังคับให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนหลับ ก่อนที่จะหลับจริง ๆ อย่างน้อยต้องว่าให้ท่านฟัง ๓ ครั้งและต่อมาเมื่อโตขึ้นมาแล้วเป็นพระผมก็ใช้อารมณ์สมาธิแบบหนึ่ง คือว่าผมจับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ที่เรามีความพอใจนั่งก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี เห็นอยู่ในอกเสมอ เวลาเดินไปไหนผมก็บังคับให้จิตเห็นภาพพระพุทธรูปในอก และต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธรูปในสมองอีกองค์หนึ่ง ก็เห็นไว้เป็นปกติ ทีนี้ไอ้ความสำคัญว่าถ้าเขาพูดอะไรขึ้นมา ภาพนั้นก็จะปรากฏกับจิตทันที

ถ้าท่านจะถามว่า "ตั้งเวลาไว้เท่าไหร่?"

การเห็นภาพพระพุทธรูปก็ตั้งเวลาผมตั้งเวลาไว้เฉพาะที่ว่าง ว่างจากการงานต่าง ๆ จิตผมมันเห็นเป็นอัตโนมัติ ถ้าว่างจากภารกิจอย่างอื่นมันจะเห็นภาพพระ-พุทธรูปเข้ามาทันที ถ้าเดินไปไหนอันนี้บังคับจริง ให้เห็นตลอดเวลาจนกว่าจะเข้าถึงที่ การทำอย่างนี้เป็นปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกตามเสียงเขาพูด ใครพูดว่ายังไงบางทีเราก็สงสัย บางทีไม่สงสัยเห็นภาพนั้นเลย

อันนี้ก็เป็นมาตั้งแต่เด็ก จากเด็กถึงความเป็นพระ แต่ก็จงอย่านึกว่าเลิศหรือประเสริฐ ยังครับ เป็นชั้นอนุบาลเท่านั้น ความดีอันนี้มันจะสลายตัวเมื่อไรก็ไม่ทราบ

และต่อมาทีนี้ก็พูดถึง แร่ยูเรเนียม ผมก็จำพ.ศ.ไม่ได้ ถ้าจำได้ก็ไปถาม เจ้ากรมเสริม ท่านดูว่า พ.ศ.เท่าไรก็ไม่ทราบ ท่านเอาถ้อยคำของพระองค์หนึ่งมาบอกว่าที่ลำปางมีแร่ยูเรเนียม ท่านก็เอาแผนที่มาให้ดู ไอ้เรื่องแผนที่แผนทางนี่ผมไม่เข้าใจในมันเลย ผมไม่สนใจ ก็เลยบอกท่านว่า

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน (พอท่านพูดความรู้สึกมันก็เกิดว่า) ที่ภูเขาลูกนี้มันมี ๒ จุด แต่ว่า ๒ จุดนี้มีปริมาณไม่สูงแต่อยู่ตื้น ถ้าเจาะขุดลงไปจะไม่ลึก ถ้าเอาเครื่องวัดไปทางเครื่องบิน เครื่องวัดจะสั่นมาก เพราะมันอยู่ตื้น ที่ถึงจุดนี้ปริมาณมันมาก เกรดเหมือนกัน แต่มันอยู่ลึก เครื่องวัดเข็มจะสั่นน้อย ๆ"

ผมไม่รู้ว่าเขาวัดกันด้วยอะไร ความรู้สึกมันบอกเป็นเข็ม ๆ ผมบอกท่านแล้วผมก็ไม่ใช่แน่ใจเลย แต่ว่าผมมั่นใจว่าความรู้สึกเป็นยังไงผมบอกตามนั้นผิดก็ผิด ถูกก็ถูกผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ผมนึกว่าท่านเจ้ากรมเสริมท่านจะไม่ไป รุ่งขึ้นตามเย็นท่านกลับมาบอก

"ไปแล้วครับและก็เป็นตามนั้นจริง ๆ"

ผมก็เลยมีความมั่นใจบอก โอหนอ...ความรู้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าทรงประทานนี่มีคุณมีประโยชน์มาก ต่อมาก็คุยกันถึงเรื่องแร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง ผมก็บอกท่านว่า

"เอายังงี้ดีกว่า รู้แค่นั้นยังไง ๆ เราก็ทำไม่ได้ และเรายังไม่ทราบว่าใครเขาจะเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาได้"

พอกลับมาถึงวัด ไอ้เรื่องต่าง ๆ นี่คุณทั้งหลาย ถ้ามันสะดุดนิดเดียวจิตมันมีสภาพจำ จิตจำได้ผมน่ะเลิกจำ แต่มันจะจำของมัน ก็เป็นอันว่าเมื่อมาถึงวัดอารมณ์เดิมยังค้างอยู่ พออารมณ์สงัดใจสบาย ไม่ใช่นั่งสมาธินะครับ คือนั่งเล่น ๆ ลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือ ก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า แร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง เวลานั้นมันมีความรู้สึกเฉพาะจุดใหญ่ ๆ จริง ๆ ปริมาณสูงมากมีถึง ๑๖ จุด ในประเทศไทย และอารมณ์จิตก็บอกเหมือนกันจุดย่อย ๆ ยังมีอีกเยอะ ขี้เกียจจะรู้ ถ้ารู้ไปก็แค่นั้นแหละไม่ได้มีประโยชน์อะไร คือไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์สำหรับผม ผมเอามาไม่ได้ และคนไทยที่มีความสามารถผมก็ยังไม่ทราบว่าใครแต่ต้องมีแน่

ปีนั้นจำได้ปีที่รู้สึกหนัก ที่รู้ว่าแร่ยูเรเนียมมีมาก คงจะเป็น พ.ศ. ๒๕๑๖ ละมั้ง ผมจำวันเวลารู้ไม่ได้ ไม่ได้จำ แต่ว่าเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ความวุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ผมก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คิดว่าในประเทศนี่มีใครบ้างไหมที่เขามีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียม ถ้ามีก็จะดีมาก ความจริงผมมีความรู้สึกว่าผมอยากจะพบคนที่มีความรู้ความสามารถ เรื่องเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาใช้และนึกในใจว่าถ้ามีจริง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลใจบุคคลนั้นมาพบภายใน ๓ วัน

แต่ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์วันที่สามเมื่อนอนเล่นลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือเหมือนกัน เวลานั้นกระแสไฟฟ้ามันก็มีด๊อกแด๊ก ๆ กลางวันเขาก็ไม่ค่อยจ่าย จ่ายกลางคืนเป็นต้น และก็กำลังกระแสไฟฟ้าก็น้อย เราก็ต้องไปพักอาศัยลมธรรมชาติโคนต้นไม้มันสบาย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณจะไม่ถึง ๔๐ รูปร่างขาวหน้าตาดี นั่งรถเมล์ผ่านมา เมื่อรถเมล์มาถึงหลังวัดท่านก็ลง ลงแล้วก็เดินเข้ามา ความจริงคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย หน้าตาท่านดี อัธยาศัยท่านดีมาก เป็นคนนิ่มนวลน่ารัก พูดจาก็ดี คุยไปคุยมาผมก็สงสัยในท่านว่าท่านผู้นี้เป็นใคร ไม่เคยรู้จักมาก่อนแล้วมาก็ไม่แสดงว่าจะมีธุระอะไรสักอย่าง มาคุยเฉย ๆ ก็เลยสงสัยว่าคนนี้จะมีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียมไหม ก็ถามท่านว่า "ท่านเคยศึกษาเรื่องนำแร่ยูเรเนียมขึ้นมาจากพื้นดินไหม?"
พอพูดเรื่องแร่ท่านบอก "โอ หลวงพ่อครับผมเรียนเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ แร่ทุกประเภทผมมีความเข้าใจ ผมศึกษาเรื่องแร่ สำหรับยูเรเนียมนี่เราเอาขึ้นมาได้ครับ เอาขึ้นมาได้แน่ และมีประโยชน์ ผมสามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะว่าผมเรียนและก็ฝึกเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ"

รวมความว่าท่านทั้งเรียนท่านทั้งฝึกท่านมีความมั่นใจ แต่ท่านบอกว่า "ถ้าจะนำขึ้นมาต้องเพิ่มค่ากระแสไฟฟ้ากำลังไฟฟ้ามากกว่านี้ครับ เพราะกำลังไฟฟ้าแค่นี้ ไม่พอใช้ ต้องใช้กระแสไฟฟ้ายิงเป็นจังหวะ ๆ ให้รังสีมันห่อตัว"

ผมก็ขอพูดทิ้งไว้ตรงนี้ เป็นอันว่าก็ปลื้มใจว่า เอ๊ะ! ประเทศเราคนที่มีความสามารถยังมีอยู่ ฉะนั้นในเมื่อโอกาสดี จังหวะถึง กาลเวลาก็มาถึง แร่ยูเรเนียมคงทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาก


หลังจากนั้นต่อมาถอยหลังจาก พ.ศ. ๒๕๒๗ ไปประมาณ ๒-๓ ปี ผมก็จำไม่ได้ ผมก็ไม่ค่อยสบาย ร่างกายมันก็ทรุดโทรมป่วย ๆ นั่งรับแขกวันนั้นเป็นการบังเอิญ ญาติโยมพุทธบริษัทไม่ค่อยจะมีใครมา มีญาติโยมผู้ใหญ่คือผู้เฒ่ามากัน ๓-๔ คน แล้วก็เดินทางกลับ แต่ว่าท่านผู้เฒ่า ๓-๔ คนจะกลับ ก็มีเด็กสาว ๆ เธอหน้าตายังสาว แต่งงานแล้วหรือยังไม่ทราบ เธอบอกว่าเธอเป็นนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ใช่ เป็นคำบอกเล่าของเธอ เรื่องคนนี่ผมขี้เกียจสงสัย เขาว่ายังไงก็ว่าตามนั้น เธอมาถามว่า

"หลวงพ่อเจ้าคะ (พูดเก่งน่ารัก) ประเทศไทยมีแร่ยูเรเนียมไหม?"

ก็บอกเธอว่า "ฉันไม่ได้สำรวจละเอียด แค่กระทบใจเท่านั้น ทราบว่า แหล่งใหญ่ ๆ ของเรามี ๑๖ แห่ง และก็เป็นแร่ยูเรเนียมที่มีคุณภาพสูงกว่าต่างประเทศเขา"

แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า "ที่หลังจังหวัดอุทัยฯ นี่มีไหมหลวงพ่อ?"

ตอนนี้ผมก็เล่นเพลงเดา ผมก็ถามว่า

"หนู คณะของหนู ๕-๖ คนนี่ไปพบมาแล้วใช่ไหมที่หลังจังหวัดอุทัย?"

พวกเธอก็พากันหัวเราะบอกว่า "ใช่เจ้าค่ะ" ถามว่า "หลวงพ่อทำไมจึงรู้?"

ก็เลยบอกว่า "หลวงพ่อคนแก่ก็เดา ๆ"

ถ้าเธอปรารภที่ไหนแสดงว่าเธอไปมาแล้วจากที่นั่น เธอก็บอกไปมาแล้ว ก็เลยยอมรับว่า ในป่าหลังจังหวัดอุทัยออกไปนั่นหมายถึงว่าถึงแม่น้ำเมยไปเลยนะพุ่งตรงออกไปเลยหรืออาจจะใกล้เมืองกาญจน์ก็ได้ มียูเรเนียมขนาดหนักเป็นปริมาณสูงกว่าที่อื่นและเกรดดีมาก

ก็รวมความว่าผมพูดเรื่องนี้นะ อันนี้เป็นความบ้าส่วนหนึ่ง แต่บ้าลับ ๆ ไม่มีใครเขาว่าบ้ามาก ๆ เหมือนกับบ้าน้ำมันเพราะบ้าน้ำมันถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและก็ลงเป็นหนังสือ เลยบ้ายาวไปหน่อย บ้าไกล บ้ายาว บ้ามีปริมาณสูง แต่ก็ไม่เป็นไร พอพ.ศ. ๒๕๒๔ ผมก็เลิกบ้า หยุดการบ้า และผมก็มาบ้ากระตุ๋มกระติ๋ม ๆ เรื่องแร่ยูเรเนียม และต่อมาก็เรื่องทอง สิ่งนี้ผมสนใจจริง ๆ อย่างอื่นผมไม่มีความรู้กับเขา พวกแร่ต่าง ๆ มันมีค่าอย่างไรผมไม่รู้ถ้าให้ผมไปขุดแร่ ผมก็เสียแรงเปล่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมไม่รู้ค่าของแร่ มันเหมือนกับไก่ไม่รู้ค่าของเพชรและพลอย เห็นก็เป็นเห็นธรรมดา

แต่สิ่งที่ผมสนใจมากก็คือทองคำธรรมชาติหรือทองคำที่เขาถลุงหลอมแล้ว แต่ว่าทำเป็นสร้อยหรือไม่ทำก็ตามว่า "ในพื้นพิภพภายใต้แผ่นดินของเมืองไทยนี่มีไหม?"

ในเมื่อความสงสัยเกิดขึ้น อารมณ์ดวงหนึ่งก็เกิดขึ้น "จะยุ่งทำไมนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของโลก และเราถ้าติดอยู่ในภาวะของโลก เราก็ไม่สิ้นทุกข์ ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราควรจะวางอารมณ์เสีย ไม่ควรจะยุ่ง รู้ไปก็ไม่ใช่เรื่อง" แต่ต่อมาอารมณ์หนึ่งมันก็เกิด

อารมณ์หนึ่งมีความรู้สึกว่า "รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม" ตามคติของโบราณ รู้ไว้จะเป็นอะไรไปจะได้ทราบว่าทองคำธรรมชาติมันก็เป็นโลหะประเภทหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วถ้าคนไม่นิยมมันก็ไม่มีค่าอะไร เป็นโลหะประเภทสีเหลือง ๆ และความจริงโลหะที่เป็นสีเหลืองไม่ใช่ทองคำก็เยอะไป เวลาเขาทำกันก็ทำกันได้สีสวยกว่าทองคำ แต่ว่าคนไปยอมรับว่าทองคำมีค่าสูง ฉะนั้น ทองคำจึงมีความสำคัญสำหรับโลกอยู่มาก ทุกประเทศถือทองคำเป็นสำคัญ จะซื้อข้าวซื้อของกันก็ถือว่าต้องทองคำเข้าไปแลกเปลี่ยน
ก็เป็นอันว่าไอ้จิตดวงนั้นมันก็บอกมีความรู้สึกควรจะรู้ แต่ผมก็เก็บอีกดวงหนึ่งบอกอย่ายุ่งเลย นี่อารมณ์ของคนไม่เสมอกันนะคุณนะ

บรรดาท่านที่รับฟังและญาติโยมพุทธบริษัทดูอารมณ์ให้ดี คืออารมณ์หนึ่งมันต้องการจะรู้ เมื่อต้องการจะรู้ขึ้นมาแล้ว ความโลภมันจะมีไหม แต่ว่าผมขอยืนยัน ความโลภอย่างอื่นอาจจะมี มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่ว่าความโลภเรื่องขุดทองคำไม่มีแน่ ผมจะเล่าเรื่องราวขุดทองคำของพระท่านหนึ่งมันก็ยาวเหยียดเกินไป ขอเล่าเรื่องนี้ไปก่อน ทีหลังถ้านึกได้ก็คุย

เป็นอันว่าวันนั้นก็ตัดอารมณ์ ต่อมาหลังจากนั้นแล้วไม่นานมันเป็นเวลากาลประมาณเดือน ๗ เขาเรียกว่าเดือน ๗ ก็แล้วกัน ไอ้เดือนพฤษภา มิถุนาน่ะไม่ต้องพูดกัน เอาเดือนแท้ ๆ คือเดือนไทยแท้ ๆ คือเดือน ๗ ก็มีภารกิจไปดำเนินสะดวกคือไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง เธอนิมนต์ประจำปี แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้ไปมา ๒ - ๓ ปีแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ อยู่ที่วัดนี่แค่ลงสอนกรรมฐานยังไม่ไหว ถ้าเดินทางไกลขนาดนั้นก็จะแย่ใหญ่ก็ต้องงด

ไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง แล้วก็เลยไป จังหวัดชุมพร ไปที่อำเภอท่านแซะ (น่ากลัวเขาเรียกว่าอำเภอท่าแซะนะ) ก็ไปหมู่บ้านใกล้ ๆ ซึ่งหมู่บ้านไม่โต ตัวอาคารก็ไม่โต ไปที่นั่นเขามีการไหว้ประจำปี ทำบุญประจำปีกัน ประเพณีการทำบุญประจำปีเพื่อความอยู่เป็นสุข ก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้เทวดา ไหว้พระ เป็นของธรรมดาของคน แต่ว่าคนจะคิดว่าไหว้เทวดาเป็นของไม่ดี เป็นเรื่องของท่าน แต่ก็จงอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ในอนุสสติ ๑๐ ประการในพระกรรมฐาน มีเทวตานุสสติ การนึกถึงเทวดาไว้ด้วย ฉะนั้นผมถึงเห็นว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาทำไม่ผิด

เวลาที่เขาบูชากันเขาก็นิมนต์ผมไปนั่ง ผมก็ไป ในเมื่อเขานิมนต์ไปเราก็ไม่เสียหายอะไร เขานั่งก่อนที่เขาจะไหว้ศาล เขาจะไหว้เทวดา เขาก็ไหว้พระก่อน ผมก็นึกในใจว่าผมเป็นพระดีพอที่เขาจะไหว้แล้วหรือยังก็ไม่ทราบ เพราะผมเองไม่มีความรู้สึกว่าผมเป็นคนดี

ขณะที่เขาไหว้เขาบูชาเขาสวดกันมันก็ใช้เวลา และเวลาที่ต้องใช้ เวลาใช้นานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าพิธีกรรมเขาจะเสร็จ ผมก็ไม่มีเวลาจะคุยกับใคร เขาวุ่นวายกันอยู่ ผมก็นั่งเฉย ๆ เวลานั้นมีความรู้สึกว่ามีเทวดา ๔ องค์ เรื่องเทวดานี่ผมเชื่อ ๔ องค์ท่านก็ประกาศตัว ท่านบอกว่า

"องค์นี้คือท้าวเวสสุวัณ องค์นี้ท้าวธตรฐ องค์นี้ท้าววิรุฬหก องค์นี้ท้าววิรูปักษ์ เป็นท้าวมหาราชทั้ง ๔"
ท่านมาท่านก็ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องปลาในทะเลซับใช่ไหม?"

เรื่องปลาในทะเลซับมันเป็นอย่างนี้


มีหนองอยู่เป็นหนองใหญ่ มีน้ำตลอดเวลา มีปลาชุมมาก เป็นที่หากินของชาวบ้านเลี้ยงชาวบ้านได้ดี แต่ว่าปลาตัวที่ตั้งใจเลี้ยง ไม่ตั้งใจเลี้ยง ผมก็ไม่ทราบ แต่ว่าชาวบ้านก็ไปจับเอามากิน ต่างคนต่างก็จับเอามาแค่พอกิน ไม่ซื้อไม่ขาย

วันหนึ่งท่านผู้มีสตางค์ก็จะทำสวนทุเรียนที่นั่น ท่านก็หวังความร่ำรวยจากหนองใหญ่ที่มีปลามาก ปลาชุมเหลือเกิน ผมก็เดินผ่านไปเห็น แต่ว่าพอเอาเครื่องสูบน้ำ สูบน้ำกว่าจะเสร็จหลายเครื่อง กว่าน้ำจะแห้งใช้เวลาก็เย็น ใกล้ค่ำ ไม่ใช่ใกล้ค่ำ เป็นค่ำเลย ต่างคนต่างเห็นปลามากมาย ทุกคนคิดว่าพรุ่งนี้เถอะ ทุกคนตั้งแค้มป์ล้อมไว้ ใครมาเอาไม่ได้แน่ แต่ว่าพอตอนเช้า ปรากฏว่าปลาหายหมด เหลือปลาอยู่ ๓ ตัวนอกนั้นไม่รู้ไปไหน และก็มีนายบุญสม เจ้าของบ้านเคยไปที่ถ้ำปลา เขาเล็ก ๆ ต่ำ ๆ เป็นถ้ำลงไป เธอบอกว่า

"มีโพรงลงไปเคยใช้พะองต่อไปเห็นน้ำ น้ำกว้างขวางมากไม่รู้ไปถึงไหน เคยทำแพหยวกกล้วยลอยไปไม่รู้ว่าที่สุดไปที่ไหน กว้างขวางมาก"

พอเธอเล่าให้ฟังผมก็สงสัยตอนนี้ว่า ไอ้ทะเลน้ำจืดอยู่ใกล้ ๆ ทะเลน้ำเค็ม และก็บริเวณนั้นมีปลามาก เธอบอกมีปลามากมายเหลือเกิน ปลามาจากไหน อยู่ได้อย่างไร แปลกใจใต้ดิน เรื่องนี้สงสัย ท่านท้าวมหาราชท่านหนึ่งที่ท่านให้นามว่า "ท่านเวสสุวัณ" ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องทะเลซับใช่ไหม ผมจะพาไปดู"

รวมความแล้วท่านก็พาไปดู ตามความรู้สึกแล้วเหมือนฝัน ว่าท่านไปไหนก็ไปด้วยกัน ลงไปดู โอ...ทะเลซับเขาเรียกทะเลถูก แต่ว่าความจริงที่เขาเรียกทะเลซับ มันเป็นหนองน้ำใหญ่แต่ไม่ใหญ่เท่าปริมาณของน้ำจริง ๆ ภายในนั้นมันกว้างขวางมากมายนัก ปลาตัวเล็กตัวใหญ่ขนาดหนัก ใหญ่ขนาดโลมานี่ก็มีเยอะ

ผมไปพบปลาหมอตัวหนึ่ง ปลาหมอนาเรานี่ โอ้โฮ! ใหญ่เหลือเกิน จะเทียบกับเรือพายก็เรือหมูขนาดใหญ่ และท่านก็ชี้ให้ดูฝูงปลาหมอก็มาก ปลาอะไรต่ออะไรก็มาก ปลาช่อนปลาดุกก็เยอะแยะ ปลาเค้ามันใหญ่ ๆ ใหญ่จริง ๆ ยังนึกในใจว่า ปลาพวกนี้ต้องมีอายุเป็นสิบหรือเป็นร้อยปี ก็ยักนึกดีใจว่าเธออยู่สถานที่นี้ปลอดภัยแก่เธอมาก

เมื่อผ่านจากที่นั่นไปแล้วท่านก็พาเรื่อยไปขึ้นจากทะเลใต้ดินขึ้นไปช่วงในระหว่างภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมันยาวเหยียดอยู่เหนือพื้นที่ที่พัก เป็นภูเขายาวมาก ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ยาวเหลือเกิน ในนั้นเป็นทองแท่ง ทองแท่งนี่ความกว้างหรือความหนานะของแต่ละแท่งประมาณ ๑ ฟุต ยาวจริง ๆ ประมาณ ๓ ฟุตแต่ละแห่ง และกว้างจริง ๆ ก็ประมาณฟุตเศษ ๆ วางเรียงเป็นตับเป็นกำแพงสูงเหนือหัวผมเป็นไหน ๆ สูง จริง ๆ ประมาณ ๑๐ เมตร วางเรียงกันนับเป็นแถวได้ ๑๐ แถว และยาวเกินครึ่งกิโลเมตร เป็นทองแท่งมหาศาล ผมก็ตกใจ เอ๊ะ ต้องถามทองอะไร พอถามท่านเวสสุวัณว่า "ทองอะไร มาอยู่ที่นี่ และใครนำมาเก็บ?" ท่านท้าวเวสสุวัณไม่ทันจะตอบ ก็มีเทวดา ๒ องค์เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่งตัวสีแดงประดับเพชร มาถึงท่านก็ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณ บอก "ท่านครับ ทองนี่เป็นทองสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าใครเป็นพระเจ้าจักรพรรดิขึ้นมาต้องขนไปให้เขา ถ้าใครจะนำไปน่ะ นำไปไม่ได้นะครับ"
ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า "ฉันพาพระท่านมาดู ฉันไม่ได้มาเอาหรอก ไม่ได้มาขนทองของเธอ"


เทวดาทั้งสององค์ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณแล้วก็หลีกไป


ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็เลยบอกว่า "เอางี้ก็แล้วกันครับ ในเมื่อเจ้าของเขาหวง ผมพาพระคุณเจ้ามาชมว่าไอ้ทรัพย์ใต้ดินมันมีมาก มากกว่านี้ เราก็ไปที่อื่นกันดีว่า เขาหวงเราก็ไป"

ท่านก็พาไปความรู้สึกว่าไปใต้ดิน ไปเจอะทองอีกแหล่งหนึ่ง คราวนี้ไม่ค่อยจะไกล ขึ้นมาทางเหนือจากบ้านนั้นตามถนนสายชุมพรประจวบ ถ้าเดินทางขึ้นมาประมาณ ๓๐ กิโลเศษ ๆ แล้วก็จะมีทางเดินออกไป ถ้าเดินผิวดิน ออกไปจากถนนเส้นนั้นห่างประมาณ ๘ กิโล ไปเจอะแหล่งทองคำธรรมชาติมหาศาลเลย โอ้โฮ...กว้างใหญ่ไพศาลมาก ปริมาณเนื้อที่ที่ทองธรรมชาติกองอยู่ ดูแล้วร้อยไร่เศษเกือบจะถึง ๒๐๐ ไร่และทองอยู่หนาเป็นเม็ดทรายธรรมชาติจริง ๆ สวยสุกอร่าม

แต่บรรดาท่านทั้งหลาย จะพูดอะไรกันไปได้ในเมื่อสัญญาณบอกเวลาปรากฏว่าหมดแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน เรื่องทองนี่เอาไว้ฟังกันในคาสเซทหน้าต่อไป สำหรับเวลานี้ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี




แหล่งที่มา :
- หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน
- เวปหลวงพ่อฤาษีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก